“เอสเอ็มอีแบงก์” เตรียมเข้าหารือ “คลัง” ชี้แจงปล่อยกู้พลาดเป้าแผนฟื้นฟู เผยสาเหตุเกิดจากลูกค้ารีไฟแนนซ์ พ่วงการคุมเข้มปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น ลุ้นคลังอัดเงินเพิ่มทุนให้อีก 2 พันล้านบาทช่วงต้นปีหน้า
นายมนูญรัตน์ เลิศโกมลสุข กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) หรือ ธพว. เปิดเผยว่า ธนาคารได้เตรียมชี้แจงต่อกระทรวงการคลัง เรื่องการปล่อยสินเชื่อที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายในแผนฟื้นฟูที่กำหนดให้ธนาคารต้องปล่อยสินเชื่อมียอดคงค้างไม่น้อยกว่า 1.05 แสนล้านบาท เนื่องจากต้องเน้นเรื่องคุณภาพสินเชื่อและเรื่องของสภาพคล่องที่ยังไม่สมดุล คือ มีเงินฝากระยะสั้นเอามาปล่อยกู้ระยะยาวมาก จึงต้องเร่งเรื่องการปรับโครงสร้างของแหล่งเงินทุนก่อน ประกอบกับที่ผ่านมา มีลูกหนี้ที่มีหนี้ครบกำหนดก็หันไปใช้บริการธนาคารอื่นประมาณ 4-5 พันล้านบาท รวมถึงมีการขอไถ่ถอนสัญญาก่อนครบกำหนดอีก 3-4 พันล้านบาท ทำให้ยอดสินเชื่อไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ระดับ 9.4 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 6.5 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 9.9 หมื่นล้านบาท ส่วนเป้าหมายอื่นตามแผนฟื้นฟูที่สามารถทำได้ เช่น เรื่องการแก้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่คาดว่าจะแก้ไขให้เหลือ 2.85 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 28-29% ของสินเชื่อรวมภายในสิ้นปี จากปัจจุบันมีเอ็นพีแอลอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนการวางระบบคอร์แบงกิ้ง คาดว่าต้นปีหน้าจะสามารถเปิดหาผู้รับวางระบบได้ และสิ้นปีคาดว่ามีกำไร 500 ล้านบาท
“ภายในไตรมาสแรกของปี 2557 กระทรวงการคลัง จะจัดสรรเงินเพิ่มทุนให้ 2 พันล้านบาท จากที่จัดสรรเงินเพิ่มทุนในปี 2556 แล้ว 555 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 9% ซึ่งจะสามารถรองรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อในปีหน้าที่คาดว่าจะมียอดคงค้างที่ระดับ 1 แสนล้านบาทได้” นายมนูญรัตน์กล่าว
สำหรับเรื่องการปรับโครงสร้างแหล่งเงินทุน จากปัจจุบันมีเงินฝากระยะสั้นถึง 78% นั้น ได้ตั้งเป้าหมายปีหน้าให้มีเงินฝากระยะสั้น และยาวอยู่ที่ 50% ต่อ 50% โดยเตรียมออกบัตรเงินฝากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (เอฟอาร์ซีดี) อายุ 5 ปี วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท ในช่วงต้นปี 2557 และเตรียมระดมเงินฝากระยะยาวในประเทศอีก 3-5 พันล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา ได้ว่าจ้างให้ทางมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ทำการจัดเรตติ้งแล้ว คาดว่าได้เทียบเท่ากับพันธบัตรรัฐบาล และจากการสำรวจพบว่า มีกองทุน 4-5 กองทุนให้ความสนใจเอฟอาร์ซีดีดังกล่าว เพราะที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่มีรัฐวิสาหกิจที่รัฐถือหุ้น 99% ออกไประดมทุนในตลาดต่างประเทศมากนัก เบื้องต้นคาดว่าต้นทุนทั้งหมด ทั้งดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมการทำสวอปรวมแล้วจะไม่เกิน 4.25%