ASTVผู้จัดการรายวัน - แบงก์เอสเอ็มอีอุ้มผู้ประกอบการโรงสี - คลังสินค้าที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ปล่อยกู้ 90% ของใบเสร็จค่าฝากข้าวจากอ.ต.ก.และอคส. หวังเพิ่มสภาพคล่อง คาดล็อตแรก 5 พันล้านอาจไม่เพียงพอ พร้อมชงครม.รับรองอุ้มเอสเอ็มอี 3 กลุ่มวงเงินกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท
นายมนูญรัตน์ เลิศโกมลสุข กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ เปิดเผยว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการขออนุมัติโครงการสินเชื่อแฟกตอริ่งหรือผู้ประกอบการยิ้มได้จากคณะกรรมการสินเชื่อ ซึ่งมีแนวคิดจะขยายวงเงินปล่อยกู้ไปยังกลุ่มผู้ประกอบการโรงสี โดยจะเป็นการรับซื้อลูกหนี้การค้ากลุ่มนี้ด้วยการนำใบเสร็จรับเงินค่าฝากข้าวจากองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) และองค์การคลังสินค้า (อคส.) ออกให้มาขอสินเชื่อจากธนาคารได้ในวงเงิน 80-90%
ซึ่งเหตุที่ไม่ให้เต็มวงเงินเพราะส่วนที่เหลือหักเป็นค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยไป โดยส่วนนี้ตั้งวงเงินไว้ประมาณ 5 พันล้านบาท ไม่แน่ใจว่าจะเพียงพอหรือไม่ เพราะมีโรงสีจำนนมากที่รอเงินค่ารับฝากข้าวจากทั้ง 2 องค์กรรวมๆ แล้วน่าจะเป็นเงินประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
“จากที่ ผมเคยอยู่อ.ต.ก.เลยเข้าใจว่าโรงสีมีปัญหาเดือดร้อน เพราะกว่าจะได้เงินจากทั้งอ.ต.ก.และอคส.ต้องรอ 3-5 เดือนเพราะต้องรอเงินงบประมาณ ทำให้โรงสีอาจขาดสภาพคล่อง เอสเอ็มอีแบงก์จึงเข้าไปรับซื้อลูกหนี้ส่วนนี้แทน แม้จะได้เงินคืนมาช้าแต่ก็เชื่อว่าไม่มีความเสี่ยงเพราะเป็นเงินงบประมาณ นอกเหนือจากว่ารัฐจะไม่มีเงินมาจัดสรรให้ และก็ถือเป็นโครงการที่เคยทำมาเมื่อ 3 ปีก่อนแต่ไม่ได้รับการผลักดันต่อมีการปล่อยสินเชื่อไปเพียง 400 กว่าล้านบาทผมเลยเอามาปัดฝุ่นใหม่ โดยคาดว่าจะเริ่มเดินหน้าปลายเดือนนี้หลังจากคณะกรรมการสินเชื่อของธนาคาร อนุมัติ” นายมนูญรัตน์กล่าว
นายมนูญรัตน์กล่าว นอกจากนี้ในช่วงท้ายของปีที่เหลืออยู่นอกจากการการเร่งแก้หนี้เสียที่มีอยู่ 3.2 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 32% ของพอร์ตสินเชื่อและการดูแลลูกค้ากลุ่มเสี่ยงตกชั้นแล้ว ภาระกิจสำคัญอีกด้านคือต้องเร่งปล่อยสินเชื่อให้ได้ 1.01 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9 พันล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ตามแผนงานที่วางไว้ เพราะหากสินเชื่อขยายตัวก็จะช่วยให้สัดส่วนหนี้เสียลดลงอีกทางหนึ่ง โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมายอมรับว่าสินเชื่อยังขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมาย โดยทำได้เพียง 5 พันล้านบาท เพราะที่ผ่านมาอาจจะยังมีปัญหาเรื่องการจัดการและเรื่องบุคคลกรและยังไม่มี กรรมการผู้จัดการจึงไม่มีความชัดเจนว่าธนาคารจะเดินไปทิศทางใด
ขณะเดียวกันยังได้ร่วมมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ 3 กลุ่ม วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย ค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการระดับไมโคร วงเงิน 5 พันล้านบาท ค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ หรือ OTOPวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท และค้ำประกันสินเชื่อเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งบสย.และเอสเอ็มอีแบงก์พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มนี้ทันทีหากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ
นายมนูญรัตน์ เลิศโกมลสุข กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ เปิดเผยว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการขออนุมัติโครงการสินเชื่อแฟกตอริ่งหรือผู้ประกอบการยิ้มได้จากคณะกรรมการสินเชื่อ ซึ่งมีแนวคิดจะขยายวงเงินปล่อยกู้ไปยังกลุ่มผู้ประกอบการโรงสี โดยจะเป็นการรับซื้อลูกหนี้การค้ากลุ่มนี้ด้วยการนำใบเสร็จรับเงินค่าฝากข้าวจากองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) และองค์การคลังสินค้า (อคส.) ออกให้มาขอสินเชื่อจากธนาคารได้ในวงเงิน 80-90%
ซึ่งเหตุที่ไม่ให้เต็มวงเงินเพราะส่วนที่เหลือหักเป็นค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยไป โดยส่วนนี้ตั้งวงเงินไว้ประมาณ 5 พันล้านบาท ไม่แน่ใจว่าจะเพียงพอหรือไม่ เพราะมีโรงสีจำนนมากที่รอเงินค่ารับฝากข้าวจากทั้ง 2 องค์กรรวมๆ แล้วน่าจะเป็นเงินประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
“จากที่ ผมเคยอยู่อ.ต.ก.เลยเข้าใจว่าโรงสีมีปัญหาเดือดร้อน เพราะกว่าจะได้เงินจากทั้งอ.ต.ก.และอคส.ต้องรอ 3-5 เดือนเพราะต้องรอเงินงบประมาณ ทำให้โรงสีอาจขาดสภาพคล่อง เอสเอ็มอีแบงก์จึงเข้าไปรับซื้อลูกหนี้ส่วนนี้แทน แม้จะได้เงินคืนมาช้าแต่ก็เชื่อว่าไม่มีความเสี่ยงเพราะเป็นเงินงบประมาณ นอกเหนือจากว่ารัฐจะไม่มีเงินมาจัดสรรให้ และก็ถือเป็นโครงการที่เคยทำมาเมื่อ 3 ปีก่อนแต่ไม่ได้รับการผลักดันต่อมีการปล่อยสินเชื่อไปเพียง 400 กว่าล้านบาทผมเลยเอามาปัดฝุ่นใหม่ โดยคาดว่าจะเริ่มเดินหน้าปลายเดือนนี้หลังจากคณะกรรมการสินเชื่อของธนาคาร อนุมัติ” นายมนูญรัตน์กล่าว
นายมนูญรัตน์กล่าว นอกจากนี้ในช่วงท้ายของปีที่เหลืออยู่นอกจากการการเร่งแก้หนี้เสียที่มีอยู่ 3.2 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 32% ของพอร์ตสินเชื่อและการดูแลลูกค้ากลุ่มเสี่ยงตกชั้นแล้ว ภาระกิจสำคัญอีกด้านคือต้องเร่งปล่อยสินเชื่อให้ได้ 1.01 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9 พันล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ตามแผนงานที่วางไว้ เพราะหากสินเชื่อขยายตัวก็จะช่วยให้สัดส่วนหนี้เสียลดลงอีกทางหนึ่ง โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมายอมรับว่าสินเชื่อยังขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมาย โดยทำได้เพียง 5 พันล้านบาท เพราะที่ผ่านมาอาจจะยังมีปัญหาเรื่องการจัดการและเรื่องบุคคลกรและยังไม่มี กรรมการผู้จัดการจึงไม่มีความชัดเจนว่าธนาคารจะเดินไปทิศทางใด
ขณะเดียวกันยังได้ร่วมมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ 3 กลุ่ม วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย ค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการระดับไมโคร วงเงิน 5 พันล้านบาท ค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ หรือ OTOPวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท และค้ำประกันสินเชื่อเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งบสย.และเอสเอ็มอีแบงก์พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มนี้ทันทีหากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ
