ในเดือนกันยายน 2554 ผมได้เตือนลูกค้าของผมว่าขาขึ้นของตลาดทองคำที่ยาวนานถึง 11 ปีกำลังจะจบลงและจะเข้าสู่ช่วงขาลงเป็นเวลา 3 ปีก่อนที่จะขยับขึ้นต่อได้ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าสู่ปี 2557 เกือบ 3 ปีหลังจากเข้าสู่ขาลงซึ่งราคาทองปรับลดลงไปแล้วถึง 40%
ในบทความชิ้นนี้ ผมจะบอกกันคุณว่าทองคำจะถึงจุดต่ำสุดเมื่อไหร่ และจะขยับขึ้นไปเหนือ $5,000 ต่อออนซ์ได้อย่างไร เรามาเริ่มจากตัวบ่งชี้ทางเทคนิคก่อน จากแบบจำลองของผม ในปีหน้า momentum range ของทองน่าจะอยู่ในช่วง $1,948.10 - $1,338.20 ในขณะที่ trend range น่าจะอยู่ในช่วง $1,268.30 - $852.60
ความหมายก็คือ ขณะนี้ราคาทองอยู่ที่ประมาณ $1,240 และมีแนวโน้มจะปรับลดลงต่อในต้นปี 2557 เนื่องจากราคาขณะนี้ต่ำกว่า $1,338.20 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของ momentum range ในปี 2557 และยังต่ำกว่าจุดสูงสุดของ trend range ในปี 2557 ด้วย ซึ่งถือเป็นข่าวดีเพราะมันแสดงว่าราคาทองน่าจะเข้าสู่จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปีของตลาดขาลงในช่วงต้นปี 2557 นี้ โดยจุดต่ำสุดนี้น่าจะต่ำกว่า $1,178 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ตรงนี้คือประเด็นที่น่าสนใจ นั่นคือแบบจำลองของผมบ่งชี้ว่าหลังจากถึงจุดต่ำสุดแล้วราคาทองน่าจะเริ่มพุ่งทะยานขึ้นได้ในช่วงต้นปี 2557 จากกราฟราคาทองรายสัปดาห์ คุณจะเห็นเลยว่าวัฎจักรราคาทองคำเป็นอย่างไร ซึ่งจากการเก็บสถิติการซื้อขายทองคำมาเป็นเวลาหลายร้อยปี วัฎจักรของราคาทองคำบ่งชี้ว่าราคาจะเข้าสู่ช่วงต่ำสุดในเดือนมกราคม/กุมภาพันธ์ก่อนที่จะพุ่งทะยานขึ้นไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม/ต้นเดือนมิถุนายน 2557 และหลังจากนั้นก็อาจจะปรับลดลงเล็กน้อย แบบจำลองระยะยาวของผมก็แสดงรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน โดยบ่งชี้ว่าจุดสูงสุดสำหรับรอบใหญ่จะมาถึงในปี 2559
แล้วคุณควรที่จะซื้อขายและลงทุนในตลาดทองในตอนนี้อย่างไร?
นักค้าทองควรเน้นขาย Short ไปจนถึงต้นปีหน้า โดยขาย Short เมื่อราคาขยับขึ้นและซื้อกลับเพื่อปิดสถานะ Short เมื่อราคาปรับลง แล้วเมื่อราคาทองถึงจุดต่ำสุดในเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ก็ค่อยเปลี่ยนมาเป็นการซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และขายเมื่อราคาขึ้น
สำหรับนักลงทุน ควรเพิ่มการถือครองทองคำในเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์เมื่อราคาทองปรับตัวต่ำกว่า $1,178 และให้ถือยาวสามปี โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ $5,000 ในปี 2559-2560
อะไรจะทำให้ราคาทองคำขยับสูงขึ้นในช่วงสองสามปีข้างหน้า?
เงินเฟ้อเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะสนับสนุนให้ราคาทองคำขยับสูงขึ้น แต่นักลงทุนที่ฉลาดรู้ดีว่า... รัฐบาลในโลกตะวันตกทั้งในยุโรปและอเมริกาต่างก็อยู่ในสภาพล้มละลาย โดยตกอยู่ในวังวนของหนี้ที่ท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงต้องไล่ล่าเก็บภาษีจากทรัพย์สินต่างๆ จากภาคเอกชนให้มากที่สุดเพื่อที่จะพยายามรักษาสถานะทางการคลังให้อยู่รอดได้ นี่คือเหตุผลที่ทำให้ราคาสินทรัพย์ประเภทของสะสมพุ่งสูงขึ้นอย่างพรวดพราด
โดยในยุโรป นักลงทุนที่ร่ำรวยจำนวนมากได้หันมากว้านซื้อเพชรและงานศิลปะ ในขณะที่ในอเมริกา นักลงทุนผู้มั่งคั่งก็หันมาซื้อเพชร ไวน์ชั้นดี งานศิลปะ นาฬิกา และของสะสมอย่างอื่นๆ กันอย่างมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในเอเชียก็เช่นกัน นักลงทุนซึ่งกังวลกับอนาคตของยุโรปและอเมริกาต่างก็หันเข้าหาสินทรัพย์ที่จะช่วยรักษาความมั่งคั่งของพวกเขาเอาไว้และสามารถเคลื่อนย้าย หรือเก็บซ่อนได้สะดวก
นักลงทุนที่ฉลาดต่างยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย ดังตัวอย่างต่อไปนี้: ในวันที่ 23 กันยายน มีการประมูลเหรียญหายากไปทั้งสิ้น $10,778,040 ซึ่งถือเป็นราคาประมูลต่อเหรีญที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีการประมูลกันมา ($399,186) ซึ่งเหรียญจำนวนมากถูกประมูลไปด้วยราคาเกินกว่าสองเท่าของราคาที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะขายได้ โดยชุดเหรียญ Stellas ปี 1879-1880 จำนวน 4 เหรียญประมูลออกไปที่ราคา $5,000,000 เกือบสองเท่าของราคาที่คาดก่อนการประมูลที่ $2.75 ล้าน
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เหรียญหายากเป็นที่นิยมมากขึ้นก็คือความสะดวกในการพกพา นั่นคือคุณอาจจะเอาเหรียญที่มีราคา $1,000,000 ใส่กระเป๋าแล้วเดินผ่านด่านศุลกากรไปได้อย่างสบาย เพชรก็เช่นเดียวกัน ในเดือนตุลาคมที่ Sotheby’s มีการประมูลขายเพชร D-diamond 118 กะรัต ไร้ตำหนิในราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ $30.6 ล้าน เหตุผลก็คือ นักลงทุนที่ชาญฉลาดต้องการที่จะปกปิดทรัพย์สินที่มีให้มากที่สุดเพื่อลดภาระภาษีที่ต้องจ่าย และรักษามูลค่าของสินทรัพย์เอาไว้ ซึ่งในไม่ช้า แรงผลักดันลักษณะเดียวกันนี้ก็จะขยับมาสู่ทองคำและทำให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง!
เหตุผลประการถัดมา ก็คือไม่ช้าก็เร็วระบบการเงินหลักจะล่มสลาย และนำไปสู่ยุคใหม่ที่จะมีการใช้เงินสกุลอื่นเป็นทุนสำรองแทนที่ดอลลาร์ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ ปัจจัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็จะส่งผลต่อโลหะเงินด้วย โดยราคาของเงินน่าจะปรับลดลงจนถึงจุดต่ำสุดในเดือนมกราคม/กุมภาพันธ์ 2557 ก่อนที่จะพุ่งสูงขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับทองคำ นักค้าโลหะเงินควรที่จะขาย short ไปถึงต้นปีหน้า แล้วค่อยปรับกลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้นมาเป็นซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวและขายเมื่อราคาขึ้น
ในขณะที่นักลงทุน ควรเพิ่มการถือครองโลหะเงินในช่วงต้นปีหน้า โดยตั้งเป้าถือยาวไปจนถึงจุดสูงสุดรอบใหญ่ในปี 2559-2560 แนวรับสำคัญสำหรับโลหะเงินที่ควรจับตามองอยู่ที่ $18.52 ถัดมาคือ $16.81 และ $16.33 ซึ่งคาดว่าเงินน่าจะถึงจุดต่ำสุดที่ระดับใดระดับหนึ่งในสามแนวรับนี้
สำหรับทองคำ แนวรับหลักอยู่ที่ $1,178 ถัดมาคือ $1,162 แล้วก็ $1,029 และ $995 ผมคาดว่าทองคำน่าจะลงไปถึงจุดต่ำสุดที่ $1,029 หรือไม่ก็ $995 แต่เมื่อถึงระดับนั้นในต้นปีหน้าแล้ว ขอแนะนำให้คุณควรเตรียมซื้อทองให้มากที่สุดเท่าที่จะซื้อได้
Larry Edelson