UAC ตั้งเป้ารายได้รวมทุกธุรกิจปีคาดหน้าโต 30% จากโครงการโรงไฟฟ้าหญ้าเนเปีย ที่ก่อสร้างใหม่ 6 โรง และเตรียมลงนามเซ็นสัญญากับกระทรวงพลังงาน ในมกราคมปีหน้า ทยอยรับรู้รายได้ในปี 2558 ส่วนธุรกิจไบโอแก๊สธรรมชาติที่สุโขทัย คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้เต็มในปีหน้า
นายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ หรือ UAC กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตจากในทุกธุรกิจของบริษัทฯในปีหน้าคาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 30% จากโครงการก่อสร้างโรงผลิตไฟฟ้าจากหญ้าเนเปีย ทั้งหมดจำนวน 6 โรงไฟฟ้า ซึ่งได้รับการอนุมัติจากกระทรวงพลังงานในการก่อสร้าง และจะเซ็นสัญญาได้ในเดือนมกราคมปีหน้า โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าต่อโรงที่ 1-1.5 เมกะวัตต์ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนเฉลี่ยต่อโรงที่ 160 ล้านบาท และใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 1 ปี จึงจะแล้วเสร็จ ทั้งนี้ บริษัทฯ สามารถขายไฟฟ้าไฟต่อหน่วยได้ในราคา 4.50 บาท โดยโรงไฟฟ้าได้เซ็นสัญญาประกันราคารับซื้อหญ้าเนเปียจากวิสาหกิจชุมชนในราคาตันละ 300 บาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท SEBIGAS (S.p.A) ประเทศอิตาลี และจัดตั้งบริษัทลูกในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการรับเหมาออกแบบ และก่อสร้างโรงงานก๊าซชีวภาพ การให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา (O&M Service) ครอบคลุมประเทศภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย UAC Energy และ SEBIGAS (S.p.A) จะถือหุ้นร้อยละ 49 และมีบุคคลถือในส่วนที่เหลืออีก 2% โดยบริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาร่วมทุนระหว่าง ยูเอซี กับ SEBIGAS บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านพลังงงานทดแทนจากประเทศอิตาลี ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าทั้ง 6 โรง ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 49% ส่วนโครงการที่ร่วมทุนกับนักลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในบริษัท ยูเอซีทีพีที จำกัด คาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างโรงงานแรกได้ภายในเดือนธันวาคมนี้
ขณะเดียวกัน ธุรกิจไบโอแก๊สธรรมชาติที่สุโขทัย คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้เต็มในปีหน้า และโรงไฟฟ้าโครงการ CBG แม่แตง 2 ของบริษัทฯ ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และโครงการ CBG ของบริษัทฯ ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (สนพ.) จำนวน 9 โครงการ เริ่มวางแผนการก่อสร้างบางส่วนแล้วโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2558 และในส่วนของ UAC เทรดดิ้งนั้น บริษัทฯ คาดว่าในปีนี้จะโตตามแผนที่ประมาณ 20% ส่วนในปีหน้านั้นคาดว่าจะเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% เช่นกัน
อย่างไรก็ดี บริษัทมีหนี้สินต่อทุน หรือ D/E อยู่ที่ 0.6 เท่า ซึ่งหากบริษัทมีโครงการงานเพิ่มเข้ามา คาดว่าอาจต้องกู้สถาบันการเงินเพิ่มขึ้น และจะทำให้บริษัทฯ มีหนี้สินต่อทุนเปลี่ยนเป็น 1.0 เท่า