นักกลยุทธ์แนะการลงทุนปลายปียังมีปัจจัยเสี่ยงจากการเมืองในประเทศฉุดดัชนีราคาหุ้นผันผวน แนะนักลงทุนปรับพอร์ตเลี่ยงขาดทุน ลงซื้อ-ขึ้นขาย เล็งหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และจับตาต้นปี 57 ปัญหาการเมืองยุบสภาหรือไม่ และการยกเลิกมาตร QE
นายกวี ชูกิจเกษม นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวในงาน SET in the city ว่า ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,400 จุดลงมา จากประเด็นการเมืองในประเทศที่จะมีการชุมนุมในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย. ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกไปจำนวนมาก อย่างไรก็ดี เป็นจุดที่นักลงทุนควรเข้าทยอยซื้อสะสมในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยคาดว่าในสัปดาห์หน้ายังมีแรงกดดันจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ และจะยังคงมีปัญหาความขัดแย้งจากผู้ชุมนุมทางการเมืองที่ยังเป็นปัจจัยลบที่กดดันหุ้นไทยต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นโดยรวมได้รับข่าวดีจากการประกาศคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ ที่ออกมาดี แต่ทั้งนี้ นักลงทุนอาจจะยังต้องระวังตลาดจะตีความว่า เฟด จะเริ่มลดมาตรการ QE และอาจทำให้ต่างชาติยังคงขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทยอยู่ ส่วนประเด็นการเมือง รัฐบาลเริ่มมีทางเลือกน้อยลงหลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การแก้ที่มา ส.ว. ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินคดีต่อ 312 ส.ส. และ ส.ว. ที่ยกมือให้กฎหมายนี้ผ่าน ทำให้นายกฯ มีโอกาสที่จะยุบสภาสูงขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อตลาด แต่คาดว่าจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
ดังนั้น โดยสรุปหุ้นยังมีโอกาสปรับฐานได้อยู่ โดยมองแนวรับไว้ที่ 1,350-1,365 ยังเน้นทยอยตั้งรับหุ้นพื้นฐานดี เนื่องจากเชื่อว่าเดือนธันวาคมตลาดหุ้นจะดีขึ้น หลังต่างชาติขายออกน้อยลง และกองทุน LTF จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นจากนักลงทุนที่เข้าทยอยซื้อเพื่อลดภาษี อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาว่าต้นปีจะมีการยุบสภาเกิดขึ้นหรือไม่
ในส่วนของการลงทุนในปีหน้านั้น คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในกรอบแคบๆ โดยเพิ่มขึ้นที่ 3-5% ซึ่งกลยุทธ์ที่นักลงทุนควรพิจารณาคือ เมื่อหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 1,400 จุด ให้ทยอยเข้าซื้อสะสม และเมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นเกิน 1,550 จุด ให้ทยอยขายออก โดยแบ่งพอร์ตเป็นหุ้น 30% และเงินสด 70% และเมื่อหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเกิน 1,600 จุด ให้ทยอยขายออกให้หมด เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากมาตรการ QE ที่อาจเป็นปัจจัยลบการลงทุน และภาวะปิดหน่วยงานราชการในสหรัฐฯ (Government Shutdown) ตลอดจนถึงปัญหาการเมืองภายในประเทศที่จะส่งผลกระทบในระยะยาว
ทั้งนี้ นักลงทุนควรเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีมีกำไรเกิน 100% ได้แก่
CPF ซึ่งคาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 102%
TUF ที่จะมีกำไรจากการส่งออกกุ้งเพิ่มมากขึ้น 104%
THRE ที่ได้รับอานิสงส์จากน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ซึ่งได้เคลมประกันหมดแล้ว และคาดว่าจะกลับมามีกำไรในปีหน้า โดยคาดว่าจะทำกำไรได้เกินกว่า 137%
TTA คาดว่าจะมีกำไร เนื่องจากได้จ่ายค่าระวางเรือในปีนี้ไปหมดแล้ว ปีหน้าจึงไม่มีค่าระวางเรือที่ต้องจ่าย ซึ่งจะฟื้นตัวกลับมามีกำไรได้กว่า 154% จากเรือขุดเจาะน้ำมันที่สั่งเข้ามาใหม่ 3 ลำ
SPCG คาดว่าจะเติบโต 155% จากรับสัญญาโรงไฟฟ้าครบ 36 โรง และมีการจ่ายปันผลที่สูง
หุ้นที่มีความเสี่ยงปานกลาง มีความสามารถทำกำไรดี และมีราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Price to Book)ที่มีราคาไม่สูงมาก
ADVANC มีอัตราส่วนต่อผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity) ในอัตราที่ต่ำ
KTB มีราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Price to Book) ในราคาที่ไม่สูงมาก
MC จะมาสาขาเปิดใหม่อีกกว่า 100 สาขา และลงนามพันธมิตรร่วมค้ากับ ไทม์ เดโค่ แล้ว
PTTGC จะมีกำไรจากการแปรรูปปิโตรเคมี เนื่องจากมีความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
SCC จะมีกำไรต่อเนื่อง
หุ้นที่มีปันผลสูง ได้แก่
KKP, TICON, TRUBB, DCC