นักวิเคราะห์กองทุนรวมแนะนักลงทุนหาโอกาสลุยหุ้นต่างชาติ พร้อมชูกองทุนที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป และจีน หลังหุ้นไทยยังไร้ปัจจัยบวกหนุน แต่ปลายปีดัชนีมีรีบาวนด์จากแรงซื้อกองทุนประหยัดภาษี แนะกองทุน KF-LTFDIV, CG-LTF (UOB) และ ABSC-RMF น่าลงทุน
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้ว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผิดกับสภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังขึ้นกับการเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ หากมีการชุมนุมที่ยืดออกไปอาจจะทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนจากต่างประเทศลดลง และยิ่งจะทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยเราแย่ลง โดยเฉพาะ GDP ที่ทางแบงก์ชาติเพิ่งปรับลดประมาณการลง อาจจะต้องปรับลดกันอีกรอบจากการปัญหาการเมืองในช่วงนี้
ส่วนการลงทุนจากภาครัฐก็ต้องรอไปถึงปีหน้า ทำให้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมกับภาวะตลาดหุ้นยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักในช่วงนี้ โดยกองทุนต่างประเทศที่แนะนำได้แก่ กองทุนสหรัฐ, Krungsri EuropeanEquity Fund และกองทุน Aberdeen China Gateway
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะยังไม่น่าสนใจในช่วงนี้ แต่ปลายปีนี้การที่กองทุน LTF และ RMF จะเข้ามากขึ้นเพื่อกระตุ้นตลาด และช่วยให้ SET เด้งขึ้นมาได้อีกรอบในช่วงปลายปี ด้วยปริมาณเงินจากกองทุนอยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ตอนนี้จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาวในกองทุน LTF และ RMF โดยกองทุนที่แนะนำคือ KF-LTFDIV, CG-LTF (UOB) และกองทุน RMF คือ ABSC-RMF
สำหรับการลงทุนในกองทุนตราสารนี้นั้น อัตราผลตอบแทนระยะยาว 5-10 ปีของตราสารหนี้ได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนที่แล้ว จากการที่เริ่มมีการไหลออกของเงินทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากได้ปัจจัยลบจากที่นักลงทุนต่างชาติวิตกกังวลเรื่องการเมืองภายในประเทศที่อาจจะยืดเยื้อและบานปลายออกไป ทางเราได้คาดว่าระยะสั้นยังไม่ใช่จังหวะที่ดีสำหรับการลงทุนตราสารหนี้ในช่วงนี้ แต่ในส่วนระยะกลาง หรือถึงประมาณช่วงต้นปี จากการคงมาตรการ QE ไว้ทำให้เม็ดเงินยังคงหมุนเวียนในภูมิภาคยุโรป และเอเชียอยู่ คาดว่าระยะกลางน่าจะส่งผลดีต่อตราสารหนี้
ส่วนระยะยาวอัตราผลตอบแทนของดอกเบี้ยนโยบายของรัฐบาลไทยยังคงสูงกว่าบางประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นแรงจูงใจให้มีการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น โดยช่วงนี้อาจปรับลดอัตราส่วนการถือครองกองทุนตราสารหนี้ลงเล็กน้อยหรือคงอัตราส่วนไว้ก็ได้ ในส่วนกลุ่มของตลาดเงินยังเป็นทางเลือกที่ดีในการรักษาเงินต้น และลดความเสี่ยง หากผู้ลงทุนยังมีความกังวลต่อการเมืองมากให้เข้ากองทุนตลาดเงิน P-Cash ไว้จนกว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะชัดเจนขึ้นก็ได้
ด้านการลงทุนในทองคำนั้น ระยะสั้นราคาทองคำอาจจะผันผวนได้ทั้งขึ้นและลง เนื่องจากมีการคงสภาพ QE หลังการประชุมของ FED ทำให้ราคาทองเป็นบวกในช่วงสั้นๆ เนื่องจากค่าเงินที่อ่อนลงของสหรัฐฯ แตในระยะกลางถึงยาว เนื่องด้วยจากสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้ราคาทองคำลดลงได้ ส่วนราคาน้ำมันมีแรงกดดันจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำมันในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันในช่วงนี้มีโอกาสผันผวน และดิ่งลงได้อีก แต่ในระยะยาวได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทั่วโลก อาจจะทำให้ราคานํ้ามันดีดตัวขึ้นหากเศรษฐกิจเป็นไปตามที่คาดหวังกัน แนะนำช่วงนี้ให้ชะลอการลงทุนและการเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างน้ำมันและทองคำไว้ก่อน รอให้มีการปรับตัวของราคาที่ชัดเจนกว่านี้ดีกว่า
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้ว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผิดกับสภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังขึ้นกับการเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ หากมีการชุมนุมที่ยืดออกไปอาจจะทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนจากต่างประเทศลดลง และยิ่งจะทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยเราแย่ลง โดยเฉพาะ GDP ที่ทางแบงก์ชาติเพิ่งปรับลดประมาณการลง อาจจะต้องปรับลดกันอีกรอบจากการปัญหาการเมืองในช่วงนี้
ส่วนการลงทุนจากภาครัฐก็ต้องรอไปถึงปีหน้า ทำให้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมกับภาวะตลาดหุ้นยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักในช่วงนี้ โดยกองทุนต่างประเทศที่แนะนำได้แก่ กองทุนสหรัฐ, Krungsri EuropeanEquity Fund และกองทุน Aberdeen China Gateway
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะยังไม่น่าสนใจในช่วงนี้ แต่ปลายปีนี้การที่กองทุน LTF และ RMF จะเข้ามากขึ้นเพื่อกระตุ้นตลาด และช่วยให้ SET เด้งขึ้นมาได้อีกรอบในช่วงปลายปี ด้วยปริมาณเงินจากกองทุนอยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ตอนนี้จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาวในกองทุน LTF และ RMF โดยกองทุนที่แนะนำคือ KF-LTFDIV, CG-LTF (UOB) และกองทุน RMF คือ ABSC-RMF
สำหรับการลงทุนในกองทุนตราสารนี้นั้น อัตราผลตอบแทนระยะยาว 5-10 ปีของตราสารหนี้ได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนที่แล้ว จากการที่เริ่มมีการไหลออกของเงินทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากได้ปัจจัยลบจากที่นักลงทุนต่างชาติวิตกกังวลเรื่องการเมืองภายในประเทศที่อาจจะยืดเยื้อและบานปลายออกไป ทางเราได้คาดว่าระยะสั้นยังไม่ใช่จังหวะที่ดีสำหรับการลงทุนตราสารหนี้ในช่วงนี้ แต่ในส่วนระยะกลาง หรือถึงประมาณช่วงต้นปี จากการคงมาตรการ QE ไว้ทำให้เม็ดเงินยังคงหมุนเวียนในภูมิภาคยุโรป และเอเชียอยู่ คาดว่าระยะกลางน่าจะส่งผลดีต่อตราสารหนี้
ส่วนระยะยาวอัตราผลตอบแทนของดอกเบี้ยนโยบายของรัฐบาลไทยยังคงสูงกว่าบางประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นแรงจูงใจให้มีการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น โดยช่วงนี้อาจปรับลดอัตราส่วนการถือครองกองทุนตราสารหนี้ลงเล็กน้อยหรือคงอัตราส่วนไว้ก็ได้ ในส่วนกลุ่มของตลาดเงินยังเป็นทางเลือกที่ดีในการรักษาเงินต้น และลดความเสี่ยง หากผู้ลงทุนยังมีความกังวลต่อการเมืองมากให้เข้ากองทุนตลาดเงิน P-Cash ไว้จนกว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะชัดเจนขึ้นก็ได้
ด้านการลงทุนในทองคำนั้น ระยะสั้นราคาทองคำอาจจะผันผวนได้ทั้งขึ้นและลง เนื่องจากมีการคงสภาพ QE หลังการประชุมของ FED ทำให้ราคาทองเป็นบวกในช่วงสั้นๆ เนื่องจากค่าเงินที่อ่อนลงของสหรัฐฯ แตในระยะกลางถึงยาว เนื่องด้วยจากสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้ราคาทองคำลดลงได้ ส่วนราคาน้ำมันมีแรงกดดันจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำมันในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันในช่วงนี้มีโอกาสผันผวน และดิ่งลงได้อีก แต่ในระยะยาวได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทั่วโลก อาจจะทำให้ราคานํ้ามันดีดตัวขึ้นหากเศรษฐกิจเป็นไปตามที่คาดหวังกัน แนะนำช่วงนี้ให้ชะลอการลงทุนและการเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างน้ำมันและทองคำไว้ก่อน รอให้มีการปรับตัวของราคาที่ชัดเจนกว่านี้ดีกว่า