นักวิเคราะห์คาดสถานการณ์ปัญหาการเมืองวิกฤตยืดเยื้อ ส่งผลกระทบบรรยากาศการลงทุนไทย หวั่นเม็ดเงินตลาดเกิดใหม่่ไหลออกไปลงทุนประเทศที่มีความเสี่ยงน้อย เผยโครงการ 2 ล้านล้าน สร้างความหวังนักลงทุนสูง หากล่าช้าเชื่อฐานเงินย้ายหนี ส่วนมาตรการ QE อาจกระทบไทยช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส หรือ ASP กล่าวในงาน SET in the city 2013 ว่า ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว แต่กลับยิ่งสร้างความไม่ชัดเจน และสร้างความผันผวนทางการเมือง ที่สะท้อนถึงความแตกแยกของคนในประเทศ เป็นปัจจัยลบที่กดดันตลาดทุน เพราะนักลงทุนอยากเห็นความสามัคคีที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม ซึ่งหากปัญหาการเมืองคลี่คลาย จะยิ่งเป็นผลดี สร้างความชัดเจนต่อประเทศ เพราะปัจจุบัน ภาคการลงทุนเกิดขึ้นน้อย และชะลอตัวจากปัจจัยทางการเมือง โดยที่ผ่านมา ไทยขาดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มาเป็นเวลาหลายปี จึงมีผลต่อความน่าสนใจของการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้น หากต้องการให้ตลาดหุ้นไทยยังมีความสนใจอยู่ รัฐบาลจะต้องผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทให้รวดเร็วขึ้น ไม่เช่นนั้นตลาดหุ้นไทยจะถูดลดอันดับความน่าสนใจลง
“ยอมรับว่าได้มีการปรับลดประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เหลือเพียงร้อยละ 8 จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ร้อยละ 25 ขณะที่ปีหน้าคาดการณ์ว่า จะมีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากเดิมที่ร้อยละ 15 เนื่องจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว จะส่งผลให้ตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน มีความน่าสนใจมากขึ้น ที่จะดึงเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นกลับเข้าไปในประเทศกลุ่มนี้ได้”
ด้าน นายไพบูลย์ นรินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน โดยหากคลี่คลายโดยเร็วก็จะทำให้ตลาดรีบาวนด์กลับมาได้ แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อต่อไป ตลาดจะยังคงผันผวน และทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งอยู่ในกรอบ 1,400-1,500 จุดได้ โดยกำไรบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่ร้อยละ 15 ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกมาหนุนตลาดหุ้นไทย แต่หากการเมืองมีความรุนแรงจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรัฐบาล อาจทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,400 จุดได้ สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีหน้า คาดว่าจะมีความสดใสกว่าปีนี้ โดยมองว่าดัชนีจะอยู่ในระดับ 1,600 จุด ที่กำไรบริษัทจดเบียนจะโตร้อยละ 12 ซึ่งถือว่าเป็นระดับปกติ แม้จะปรับลดลงจากปี 2556 ที่ได้รับอานิสงส์จากการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เนื่องจากเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ดี แต่ต้องจับตาว่าจะเป็นการฟื้นตัวที่แท้จริงหรือไม่ รวมทั้งต้องจับตาปัจจัยการถอนมาตรการ QE ที่จะส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทย โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปีหน้าว่า ควรเน้นลงทุนระยะยาว เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยระยะสั้น โดยอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในปีหน้า คือ กลุ่มอาหาร ส่งออก และปิโตรเคมี ที่จะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก