“จรัมพร” มั่นใจวอลุ่มเทรดปี 57 สูงกว่าปีนี้ ซึ่งอยู่ที่ระดับ 5 หมื่นล่าน คาดเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาลงททุนใหม่ คาดสภาพัฒน์หั่นจีดีพีเหลือ 3% ไม่กระทบแผนตลาดฯ และผลประกอบการ บจ. เพราะได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.คาดว่า ปี 57 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นไทยจะสูงกว่าปีนี้ที่อยู่ในระดับ 5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นจะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ถึงแม้ขณะนี้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจะไหลออกไปจากตลาดหุ้นไทยมากแล้ว แต่เชื่อว่าเมื่อมีข่าวดีที่เกิดกับตลาดหุ้นทั่วโลก เม็ดเงินเหล่านี้ก็จะกลับเข้ามาลงทุน
ส่วนการที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 56 เหลือ 3% จากเดิมที่เคยคาดไว้ในระดับ 3.8-4.3% คงไม่กระทบต่อแผนงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2557 เนื่องจากตลาดได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว รวมทั้งเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เพราะแต่ละบริษัทคาดการณ์ภายใต้สมมติฐานภาพรวมเศรษฐกิจชะลอลงอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัจจัยการเมืองในขณะนี้ยังเป็นประเด็นหนึ่งที่จะกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งยังต้องจับตาดูว่าสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองจะยืดเยื้อไปเพียงใด ประกอบกับปกติช่วงปลายปีตลาดหุ้นจะค่อนข้างเงียบ เพราะเข้าใกล้เทศกาลปีใหม่ แต่การเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทจดทะเบียนใหม่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังเดินหน้าไปตามแผนงานราว 10 บริษัท
ด้าน นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงการที่สภาพัฒน์ปรับลด GDP เหลือ 3% ก็เป็นระดับที่ได้คาดการณ์ไว้แล้วเช่นกัน แต่คาดว่าในปี 57 จะขยายตัวได้ในระดับ 5% บวกลบภายใต้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น มีการเชื่อมต่อกับภูมิภาคเอเชียเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ขณะที่ไทยเป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์ และแรงกระเพื่อมจากการลงทุนภาครัฐจะส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน
นอกจากนั้น ในปีหน้าเชื่อว่าการส่งออกจะขยายตัวดีขึ้น เพราะตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ดีขึ้น กำลังการผลิตเริ่มดีขึ้น เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ดีขึ้น ส่วนยุโรปแม้ฟื้นไม่มากแต่ก็เริ่มปรับฐาน ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังต้องพึ่งการลงทุนภาครัฐ ถ้าไม่มีก็จะกลายเป็นความเสี่ยง ซึ่งจะต้องหาทางให้มีการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปยังอาเซียน จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง ส่วนการบริโภคในประเทศก็จะต้องส่งเสริมให้ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น
ขณะที่ตลาดหุ้นในปัจจุบัน ราคาปรับลงมามากแล้ว บางบริษัทมาอยู่ในจุดที่ราคาจูงใจต่อการเข้าไปลงทุน เพราะ P/E ตลาดหุ้นไทยต่ำกว่าตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน แม้ขณะนี้นักลงทุนหลายรายอยู่ในภาวะวิตก และลังเลที่จะเข้าไปลงทุน แต่อีกมุมหนึ่งก็มีนักลงทุนที่เห็นมูลค่า และราคาที่เหมาะสมก็จะเข้ามาลงทุน จึงแนะนำให้มองช่วงนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมมากในการเข้าไปลงทุนเพื่อจะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว