xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นกองทุนดัง-ยังกังวลมาตรการ QE บลจ.ตบเท้าออกกองบอนด์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เร็วมากๆ เวลาล่วงเลยผ่านมาครึ่งปีได้แล้วของปี 56 ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายต่างออกมาบอกว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 56 ปัจจัยความกังวลในเรื่องการหยุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) น่าจะมีผลกระทบต่อการลงทุนน้อยลงเพราะสินทรัพย์ต่างๆ ได้ปรับฐานรับข่าวลงมาในช่วงก่อนหน้าไปมากแล้ว การชะลอ QE คงจะค่อยเป็นค่อยไปเพราะตลาดการจ้างงานสหรัฐฯ ก็ยังฟื้นตัวช้าและอัตราเงินเฟ้อเองก็ยังต่ำกว่าเป้าหมายมาก ทำให้ภาพของการชะลอมาตรการ QE เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยมองว่าจะเริ่มชะลอในช่วงเดือน ก.ย. 13 และไปหยุดกลางปี 14 นั้น ภาพนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วทำให้แรงขายในตลาดหุ้นไม่น่าจะรุนแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา การคาดการณ์เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวโดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วยังมีแนวโน้มดี โดยเฉพาะสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ในขณะที่ความเสี่ยงในยุโรปยังมีอยู่ แต่ความเสี่ยงที่จะกลับไปเกิดวิกฤตทางการเงินก็ต่ำเช่นกัน

ทั้งนี้ ปัจจัยลบในการลงทุนช่วงครึ่งปีหลังกลับมาเป็นความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจจีนที่ตลาดกังวลว่าอาจจะโตต่ำกว่า 7.0% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ใกล้ 8.0% จากนโยบายของรัฐบาลจีนที่ยังเน้นการคุมปล่อยสินเชื่อของธนาคารจีนซึ่งไม่ดีต่อเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลใหม่จีนต้องการให้เศรษฐกิจโตแบบมีเสถียรภาพทำให้เศรษฐกิจจีนอาจจะไม่โตเช่นในอดีตและนักลงทุนเริ่มเป็นกังวลมากขึ้น ตลอดจนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าและอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นเพื่อสะท้อนภาพเศรษฐกิจจริง โดยเสียงส่วนใหญ่ของตลาดมองว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้สหรัฐฯ ในปี 14 จะสูงกว่า 3.20% ซึ่งไม่ดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหุ้น และตราสารหนี้

ล่าสุดมีหลาย บลจ.ต่างออกกองทุนตราสารหนี้มารองรับกลุ่มความต้องการกันอย่างคึกคัก เริ่มกันที่ บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ยังคงเดินหน้าเปิดจำหน่ายอีก 2 กองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 87 (KTSUPB87) เสนอขาย 25-30 กรกฎาคม 2556 อายุ 3 ดือน มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.60% ต่อปี และกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 3 เดือน คุ้มครองเงินต้น 2 (KTFIX3M2) เป็นกองทุนประเภท Roll Over อายุ 3 เดือน เสนอขายถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2556 โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.40% ต่อปี

ส่วน บลจ.กสิกรไทย ในวันที่ 24-29 กรกฎาคม 2556 บลจ.กสิกรไทยจะเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทกำหนดอายุโครงการจำนวน 2 กองทุน ทั้งอายุ 3 เดือน และ 6 เดือน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ฟิกซ์ อินคัม โน้ต 3 เดือน อี (KFIN3ME) ให้โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี กองทุนเปิดเค ฟิกซ์ อินคัม โน้ต 6 เดือน อี (KFIN6ME) ให้โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.00% ต่อปี ซึ่งสูงขึ้นกว่าผลตอบแทนจากกองทุนประเภทเดียวกันที่เสนอขายในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ และต้องการพักเงินเพื่อรอดูความชัดเจนด้านทิศทางเศรษฐกิจและจับจังหวะเข้าลงทุนต่อไป

นอกจากนี้ เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก ในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยจะเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ซีคิว (KPPTF3MCQ) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.40% ต่อปี

ด้านออกกองทุนตราสารหนี้ 6 เดือนเป็นทางเลือกแก่ลูกค้า คือ กองทุนเปิดฟินันซ่าตราสารหนี้พลัสโรลโอเวอร์ 6 เดือน 6 (FAM FIPR6M6) โดยมีอัตราผลตอบแทนโดยประมาณ 2.90% ต่อปี เปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 23-30 ก.ค. 56 โดยสินทรัพย์ในกองทุนบางส่วนจะลงทุนเป็นเงินฝากธนาคารต่างประเทศและในประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่ลงทุนได้ขึ้นไป

สำหรับกองทุน FAM FIPR6M6 เป็นกองทุน specific fund โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ และ/หรือเงินฝากของภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เงินฝากธนาคารต่างประเทศสกุลเงิน USD, CNY, HKD, EUR, JPY กับธนาคาร BOC (Macau), Standard Chartered Bank (Hong Kong), ธนาคาร CIMB Niaga (Indonesia) หรือเงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank, UAE (F1), ธนาคาร Union National Bank, UAE(P-1), ธนาคาร CBQ (Qatar), ตั๋วเงินหรือเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ, ตั๋วแลกเงิน บมจ.ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) (BBB), ตั๋วแลกเงิน บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (BBB+), ตราสารหนี้ บมจ.บัตรกรุงไทย หรือตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ BBB+ ขึ้นไป ตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด อยู่ระหว่างการเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M68 (KFFIX6M68) อายุประมาณ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เช่น เงินฝากธนาคาร Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน, สาขามาเก๊า) สัดส่วนการลงทุน 25% เงินฝากธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 20% ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 20% ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดยธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 20% ตั๋วแลกเงินออกโดยบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 15% โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 2.75% ต่อปี และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป

และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) รุกเปิดขายกองทุนรวมที่ลงทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สเตเบิ้ล อินคัม ฟันด์ 14 (MSI 14) ลงทุนตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐและเอกชนทั้งในและนอกประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท อายุประมาณ 3 ปี 2 เดือน ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีจุดเด่นคือ จะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทุก 3 เดือนเฉพาะผลตอบแทนในอัตราเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 3.70 ต่อปีของมูลค่าหน่วยลงทุนที่ตราไว้ (10 บาท) ทั้งนี้ เมื่อกองทุนครบอายุกองทุนบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมด และสับเปลี่ยนไปยังกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน หรือกองทุนเปิด MM-GOV เพื่อสนับสนุนการลงทุนของผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างต่อเนื่องต่อไป

ทั้งนี้ กองทุนเน้นนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ตราสารหนี้ที่ออกโดยนิติบุคคลเฉพาะจัดตั้งขึ้น ตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารต่างประเทศ หรือตราสารหนี้เอกชนที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งกองทุนเปิด MSI 14 มีกลยุทธ์การลงทุนเพียงครั้งเดียว และถือทรัพย์สินไว้จนครบอายุของทรัพย์สินนั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น