“คลัง” เตรียมขายบอนด์ออมทรัพย์รอบใหม่ 4 พันล้านบาท ยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลปีงบ 57 ที่ตั้งขาดดุลไว้ 2.5 แสนล้านบาท ขณะที่ ธปท.หวังนักลงทุนไทยไปต่างแดนมากขึ้น
น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จะแถลงการจัดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ให้แก่นักลงทุนรายย่อย ประชาชนทั่วไป จำนวน 4,000 ล้านบาท ภายในสัปดาห์นี้ โดยการออกพันธบัตรออมทรัพย์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลปีงบประมาณ 2557 ที่ตั้งขาดดุลไว้ 2.5 แสนล้านบาท
สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์ที่กระทรวงการคลังออกครั้งนี้ มีอายุ 3 ปี จะให้ผลตอบแทน 3% กว่าๆ ซึ่งผู้อำนวยการ สบน.จะสรุปก่อนที่จะมีการแถลงขาย โดยประชาชนทั่วไปสามารถซื้อได้ตั้งแต่ 1,000 บาท จนถึงไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยต้องซื้อผ่านตู้เอทีเอ็มของ 4 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์
ทั้งนี้ สบน.คาดว่าจะมีนักลงทุนรายย่อยซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งนี้เดือนละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้จำหน่ายหมดภายใน 4 เดือน หลังจากนั้นจะพิจารณาออกพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งใหม่ต่อไป เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนทั่วไป และเป็นการสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในตลาดให้มีความต่อเนื่อง
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สบน.ยังอยู่ระหว่างการทำแผนเงินกู้จำนำข้าวรอบใหม่ 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการนำเข้าให้คณะกรรมการกำกับนโยบายหนี้สาธารณะ ที่มีนายกิตติรัตน์ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เป็นประธานเห็นชอบเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป
สำหรับหนี้สาธารณะของไทย ณ สิ้นเดือน ก.ย.2556 มีจำนวน 5.43 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 45.49% ของจีดีพี เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 1.27 แสนล้านบาท
ด้าน นางสุธาศินี นิมิตกุล ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเปิดเสรีทางการเงินหลังมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี จะทำให้ตลาดเงินของไทย และภูมิภาคผันผวนไม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบันประเทศในภูมิภาคมีการลงทุนระหว่างกันอยู่แล้วในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการลงทุนทางตรง ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ และรายย่อยของไทยเข้าไปลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และพม่า
ขณะที่การลงทุนในตลาดทุนยังคงไม่สูงมากนัก ซึ่งการลงทุนในตลาดทุนระหว่างประเทศนั้น ทาง ธปท.มีการเปิดเสรีในทุกด้าน เช่น ให้บุคคลธรรมดาในไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ จากเดิมได้แค่ในรูปบริษัท แต่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ระหว่างกันกลับมีสัดส่วนที่ต่ำ โดยเชื่อว่าเป็นผลจากบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยยังให้น้ำหนักต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่าตลาดภูมิภาค ต่างจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย ที่สนับสนุนให้มีการลงทุนในต่างชาติ
