บางจากปิโตรเลียม ไตรมาส 3 โกยกำไร 1,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 27% เหตุปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันรวมที่สูงขึ้น และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปปรับเพิ่ม
นายวิเชียร อุษณาโชติ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP แจ้งผลงานไตรมาส 3 ปีนี้ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,359 ล้านบาท ขณะที่งวดนี้ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,072 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 278 ล้านบาทหรืเพิ่มขึ้น 26.77%
สำหรับไตรมาส 3 ปี 2556 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้ 46,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2556 จากปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันรวมที่สูงขึ้นเล็กน้อย และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากในไตรมาสก่อนหน้า โรงกลัน่ มีการหยุดการผลิตชั่วคราวเพื่อตรวจสอบหน่วยกลั่น สุญญากาศ และหน่วย Hydrogen Plant รวมทั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูป ทั้งน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันเครื่องบินมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2556 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2555 กลุ่มบริษัทบางจากฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 38% เนื่องจากมีปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์รวมที่สูงขึ้นมากถึง 47% จากการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้น (เนื่องจากในไตรมาส 3 ปี 2555 มีอุบัติเหตุที่หน่วยกลัน่ น้ำมันดิบที่ 3) รวมทั้งมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จากการที่โครงการระยะที่ 2 ทั้ง 2 แห่ง เริ่มการผลิตในเชิงพาณิชย์นับแต่เดือนมีนาคม และเมษายน 2556 โดยในไตรมาส 3 ปี 2556 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมี EBITDA รวม จำนวน 2,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,068 ล้านบาท จากไตรมาส 2 ปี 2556 และเพิ่มขึ้น 356 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ บริษัทจำแนก EBITDA ตามธุรกิจได้ดังนี้คือ ธุรกิจโรงกลั่น น้ำมันและธุรกิจไบโอฟูเอล มี EBITDA รวมจำนวน 1,838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 188% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2556 โดยในไตรมาสนี้มีค่าการกลั่นพื้นฐานของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน 4.72 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ 5.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากต้นทุนน้ำมันดิบสูงขึ้น จากการที่ราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบเฉลี่ยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบ (Crack Spread) สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันเบนซิน และน้ำมันเตาลดลง และประกอบกับโรงกลั่นมีปริมาณผลิตภัณฑ์น้ำมันเตาที่เพิ่มสูงขึ้น จากเหตุขัดข้องที่โรงผลิตไฟฟ้าร่วมของ ปตท. (Co-Gen) ที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้โรงกลั่น เป็นเหตุให้โรงกลั่นต้องหยุดหน่วยกลั่น Hydrocracker ชั่วคราว ส่งผลให้ค่าการกลั่นพื้นฐานลดลง แต่ในไตรมาสนี้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 926 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีกำไรจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า 230 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2556 เทียบกับไตรมาส 3 ปี 2555 มี EBITDA ลดลง 4 ล้านบาท หรือลดลง 0.20% และมีค่าการกลั่นพื้นฐานลดลง 9.31 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สาเหตุจากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบอ้างอิง (Crack Spread) ทุกผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง รวมทั้งในไตรมาส 3 ปี 2555 มีอุบัติเหตุที่หน่วยกลั่นที่ 3 ทำให้การใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นลดลงไปอยู่ที่ระดับ 38.68 พันบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูงกว่าปกติด้วยการจัดเศรษฐศาสตร์การกลั่น
สำหรับ EBITDA ที่มีนั้นแบ่งเป็นธุรกิจการตลาด มี EBITDA รวม 354 ล้านบาท ลดลง เนื่องจากปัจจัยด้านฤดูกาล รวมทั้งมีการแข่งขันสูงขึ้นในส่วนของตลาดอุตสาหกรรมโดยไตรมาสนี้มีปริมาณการจำหน่ายผ่านธุรกิจตลาด 1,216.25 ล้านลิตร ลดลง 2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2555 ทั้งนี้ เมื่อเทียบผลดำเนินงานกับไตรมาส 3 ปีก่อนหน้า ธุรกิจตลาดมีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น 19% และมี EBITDA เพิ่มขึ้น 136 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63% ขณะไตรมาส 3 ปีนี้ค่าการตลาดรวมลดลงเพราะมีการแข่งขันด้านราคา แต่ค่าการตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ระยะที่ 1 ขนาด 38 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และระยะที่ 2 ทั้ง 2 โครงการรวม 32 เมกะวัตต์ ที่อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ และอำเภอบางปะหัน จังหวัดอยุธยา มี EBITDA รวม 372 ล้านบาท ลดลง 20 ล้านบาท หรือลดลง 5% เมื่อเทีบบกับไตรมาส 2 ปี 2556 อันเป็นผลกระทบจากฤดูกาลคือ เป็นช่วงฤดูฝน แต่เพิ่มขึ้น 223 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 150% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2555 จากการที่โครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ได้เริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ ระยะที่ 2 นับแต่เดือนมีนาคม และเมษายน ปี 2556
สำหรับไตรมาส 3 ปี 2556 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิเฉพาะส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 1,359 ล้านบาท โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.99 บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 407 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 1,072 ล้านบาท
นายวิเชียร อุษณาโชติ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP แจ้งผลงานไตรมาส 3 ปีนี้ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,359 ล้านบาท ขณะที่งวดนี้ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,072 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 278 ล้านบาทหรืเพิ่มขึ้น 26.77%
สำหรับไตรมาส 3 ปี 2556 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้ 46,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2556 จากปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันรวมที่สูงขึ้นเล็กน้อย และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากในไตรมาสก่อนหน้า โรงกลัน่ มีการหยุดการผลิตชั่วคราวเพื่อตรวจสอบหน่วยกลั่น สุญญากาศ และหน่วย Hydrogen Plant รวมทั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูป ทั้งน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันเครื่องบินมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2556 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2555 กลุ่มบริษัทบางจากฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 38% เนื่องจากมีปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์รวมที่สูงขึ้นมากถึง 47% จากการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้น (เนื่องจากในไตรมาส 3 ปี 2555 มีอุบัติเหตุที่หน่วยกลัน่ น้ำมันดิบที่ 3) รวมทั้งมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จากการที่โครงการระยะที่ 2 ทั้ง 2 แห่ง เริ่มการผลิตในเชิงพาณิชย์นับแต่เดือนมีนาคม และเมษายน 2556 โดยในไตรมาส 3 ปี 2556 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมี EBITDA รวม จำนวน 2,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,068 ล้านบาท จากไตรมาส 2 ปี 2556 และเพิ่มขึ้น 356 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ บริษัทจำแนก EBITDA ตามธุรกิจได้ดังนี้คือ ธุรกิจโรงกลั่น น้ำมันและธุรกิจไบโอฟูเอล มี EBITDA รวมจำนวน 1,838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 188% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2556 โดยในไตรมาสนี้มีค่าการกลั่นพื้นฐานของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน 4.72 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ 5.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากต้นทุนน้ำมันดิบสูงขึ้น จากการที่ราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบเฉลี่ยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบ (Crack Spread) สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันเบนซิน และน้ำมันเตาลดลง และประกอบกับโรงกลั่นมีปริมาณผลิตภัณฑ์น้ำมันเตาที่เพิ่มสูงขึ้น จากเหตุขัดข้องที่โรงผลิตไฟฟ้าร่วมของ ปตท. (Co-Gen) ที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้โรงกลั่น เป็นเหตุให้โรงกลั่นต้องหยุดหน่วยกลั่น Hydrocracker ชั่วคราว ส่งผลให้ค่าการกลั่นพื้นฐานลดลง แต่ในไตรมาสนี้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 926 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีกำไรจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า 230 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2556 เทียบกับไตรมาส 3 ปี 2555 มี EBITDA ลดลง 4 ล้านบาท หรือลดลง 0.20% และมีค่าการกลั่นพื้นฐานลดลง 9.31 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สาเหตุจากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบอ้างอิง (Crack Spread) ทุกผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง รวมทั้งในไตรมาส 3 ปี 2555 มีอุบัติเหตุที่หน่วยกลั่นที่ 3 ทำให้การใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นลดลงไปอยู่ที่ระดับ 38.68 พันบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูงกว่าปกติด้วยการจัดเศรษฐศาสตร์การกลั่น
สำหรับ EBITDA ที่มีนั้นแบ่งเป็นธุรกิจการตลาด มี EBITDA รวม 354 ล้านบาท ลดลง เนื่องจากปัจจัยด้านฤดูกาล รวมทั้งมีการแข่งขันสูงขึ้นในส่วนของตลาดอุตสาหกรรมโดยไตรมาสนี้มีปริมาณการจำหน่ายผ่านธุรกิจตลาด 1,216.25 ล้านลิตร ลดลง 2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2555 ทั้งนี้ เมื่อเทียบผลดำเนินงานกับไตรมาส 3 ปีก่อนหน้า ธุรกิจตลาดมีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น 19% และมี EBITDA เพิ่มขึ้น 136 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63% ขณะไตรมาส 3 ปีนี้ค่าการตลาดรวมลดลงเพราะมีการแข่งขันด้านราคา แต่ค่าการตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ระยะที่ 1 ขนาด 38 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และระยะที่ 2 ทั้ง 2 โครงการรวม 32 เมกะวัตต์ ที่อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ และอำเภอบางปะหัน จังหวัดอยุธยา มี EBITDA รวม 372 ล้านบาท ลดลง 20 ล้านบาท หรือลดลง 5% เมื่อเทีบบกับไตรมาส 2 ปี 2556 อันเป็นผลกระทบจากฤดูกาลคือ เป็นช่วงฤดูฝน แต่เพิ่มขึ้น 223 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 150% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2555 จากการที่โครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ได้เริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ ระยะที่ 2 นับแต่เดือนมีนาคม และเมษายน ปี 2556
สำหรับไตรมาส 3 ปี 2556 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิเฉพาะส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 1,359 ล้านบาท โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.99 บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 407 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 1,072 ล้านบาท