หุ้นปิดร่วงหนัก 40 จุด ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องอีก 776 ล้านบาท โบรกฯ ชี้ พ.ร.บ.นิรโทษฯ กำลังทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเข้าสู่วิกฤต เตือนการที่ดัชนีหลุด 1,400 จุด ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดี แนะลดพอร์ตหุ้นเหลือ 25% และถือเงินสดมากขึ้น พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด “เอกชน” ชี้หากรัฐดันทุรังนำ พ.ร.บ.นิรโทษฯ มาบังคับใช้ จะกระทบเครดิตประเทศ นักลงทุนย้ายฐานหนี และสูญเสียศักยภาพแข่งขัน
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (4 พ.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,388.40 จุด ลดลง 40.68 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -2.85% มูลค่าการซื้อขาย 34,712.11 ล้านบาท ด้านสัดส่วนผู้ลงทุนวันนี้ ต่างชาติขายสุทธิ 776 ล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ 1.8 พันล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 424 ล้านบาท และบัญชีโบรกเกอร์ขายสุทธิ 655 ล้านบาท
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า วันนี้ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่แนวลบตลอดวัน และดิ่งตั้งแต่ตลาดหุ้นเปิดทำการ เนื่องจากได้รับความกดดันจากปัจจัยทางการเมืองเป็นหลักที่ยังมีทิศทางที่ยังไม่ชัดเจน
ทั้งนี้ ประเมินว่าการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ มีผู้เข้าร่วมมากขึ้น และหลากหลายกลุ่มได้ประกาศจุดยืน ดังนั้น สถานการณ์การเมืองอาจจะยืดเยื้อ และทวีความร้อนแรงขึ้นได้ จึงต้องคอยติดตามดูต่อไป ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ก็มีการเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก และลบสลับกัน ส่วนตลาดในแถบยุโรป เคลื่อนไหวไปในทางบวก
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าประเด็นทางการเมืองจะกดดันการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วง 1 เดือนนี้ เนื่องจากมีประเด็นอีกหลายอย่างที่นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ ตั้งแต่เรื่องเขาพระวิหาร การพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของสมาชิกวุฒิสภา การพิจารณา พ.ร.บ.เงินกู้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท
“มองทางเทคนิคการที่ดัชนีปรับลดลงกว่า 1,400 จุด ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดี แนะนำให้ลดพอร์ตหุ้นเหลือเพียง 25% และถือเงินสดมากขึ้น ซึ่งแนะนำว่า ช่วงนี้นักลงทุนควรคติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด”
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (5 พ.ย.) เชื่อว่าตลาดจะผันผวน และซบเซาตามบรรยากาศทางการเมือง พร้อมให้แนวรับ 1,380 จุด แนวต้าน 1,420 จุด
ขณะที่ภาคเอกชนได้ออกแถลงการณ์ และได้แสดงความคิดเห็น และจุดยืนกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยระบุว่า หากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมีผลบังคับใช้ จะส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ ทั้งหมด 4 เรื่อง ดังนี้
1.ส่งผลต่อการจัดอันดับความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ซึ่งจะกระทบต่อภาพลักษณ์ในการส่งเสริมการลงทุนของประเทศฯ รวมทั้ง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีเนื้อหาสุ่มเสี่ยงขัดแย้งกับอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติ เพื่อการต่อต้านทุจริต (UNCAC 2003) ที่รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบันในการเข้าเป็นภาคีเมื่อวันที่ 1 มี.ค.2554 ซึ่งจะส่งผลให้ขาดการยอมรับ และความน่าเชื่อถือจากนานาอารยประเทศ
2.จะทำให้ประเทศขาดความเชื่อมั่น ทำให้การลงทุน และการขับเคลื่อนธุรกิจได้ยาก มีการย้ายการลงทุนไปประเทศอื่น ส่งผลกระทบในระยะยาว เป็นการซ้ำเติมประเทศในขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้สูญเสียศักยภาพในการแข่งขัน รวมถึงผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจประเทศขณะนี้
3.การลบล้างความผิดตามมาตรา 3 ทั้งหมด ซึ่งครอบคลุมถึงผู้กระทำความผิดในทางอาญา และคดีทุจริตคอร์รัปชัน ตั้งแต่ปี 2547 ถึง 8 ส.ค.2556 รวมระยะเวลากว่า 9 ปี ซึ่งบางช่วงไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองนั้น จะทำให้ผลของคดีคอร์รัปชันทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2547 ถึง 8 ส.ค.2556 ทั้งที่มีการตัดสินคดีแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีจะได้รับการนิรโทษกรรมทั้งหมด ซึ่งเป็นการล่วงละเมิดระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศ และไม่เป็นธรรมต่อคดียุติธรรมอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกรอบ พ.ร.บ.ฉบับนี้
4.ส่งผลให้เกิดความแตกแยกขัดแย้ง และการเผชิญหน้าในทางสังคมมากขึ้น รวมทั้งทำให้เกิดการทำลายระบบคุณธรรมของสังคมไทยอย่างร้ายแรง จึงควรให้คดีทุจริตคอร์รัปชันให้ดำเนินการไปตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นปกติ
ขณะที่หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ สมาคมการค้า และหอการค้าต่างประเทศ ต่างออกมาแสดงความห่วงใยในสถานการณ์ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรง อันจะส่งผลกระทบ และซ้ำเติมสังคม และเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ที่กำลังประสบปัญหา ณ ขณะนี้ พร้อมฝากขอให้ฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐบาล และฝ่ายการเมืองที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเรื่องดังกล่าว โดยพิจารณาหาทางออกอย่างรอบคอบ และใช้ผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นที่ตั้ง
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
JAS มูลค่าการซื้อขาย 3,265 ล้านบาท ปิด 7.80 บาท ลดลง 0.20 บาท (-2.50%)
TRUE มูลค่าการซื้อขาย 2,584 ล้านบาท ปิด 7.80 บาท ลดลง 0.80 บาท (-9.30 %)
AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,941 ล้านบาท ปิด 189.00 บาท ลดลง 17.00 บาท (-8.25 %)
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,188 ล้านบาท ปิด 180.00 บาท ลดลง 5.50 บาท (-2.96%)
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 997 ล้านบาท ปิด 246.00 บาท ลดลง 4.00 บาท (-1.60%)