“ก.ล.ต.” เผย “เจ้าพระยามหานคร” เตรียมขาย “ไอพีโอ” จำนวน 250 ล้านหุ้น ระดมทุนก้อนใหม่ลุยการลงทุนด้านอสังหาฯ เน้นทำเลแนวโครงการเมกะโปรเจกต์ โดยมี “เอเซีย พลัส” เป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2556 เนื่องจากบริษัทมีความต้องการจะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน (IPO) จำนวน 250 ล้านหุ้น
โดยมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และนำเงินจากการระดมทุนในครั้งนี้เพื่อใช้ชำระเงินกู้ ลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
กลุ่มเจ้าพระยามหานคร ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นที่พักอาศัยเป็นหลัก ได้แก่ คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม โดยเน้นทำเลที่ตั้งโครงการตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า และประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง โครงการคอนโดมิเนียม ระดับราคา 1.5-3.5 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ “ชาโตว์ อินทาวน์” “แบงค์คอก เฟ'ลิซ” และ “แบงค์คอก ฮอไรซอน” บ้านเดี่ยวภายใต้ชื่อ “เดอะริช พระราม 2” และ ทาวน์เฮาส์ทาวน์โฮมภายใต้ชื่อ “คาซ่า ยูเรก้า” และ “คาซ่า ดีว่า”
ผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 6 เดือนของปีนี้มีรายได้รวม 706.79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 85.61 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวม 4,165.11 ล้านบาท หนี้สินรวม 2,927.82 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 1,237.29 ล้านบาท
บริษัทมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 750 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 750 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้ว จะมีทุนจดทะเบียนและทุนเรียกชำระแล้ว 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ 3 อันดับแรก ณ วันที่ 15 มีนาคม 2556 เป็นกลุ่มแพทยานันท์ ได้แก่ นายวิเชียร แพทยานันท์ ถือหุ้น 87,095,000 หุ้น หรือคิดเป็น 11.61% หลังขาย IPO แล้วจะลดสัดส่วนถือหุ้นเหลือ 8.71%, นายนริศ แพทยานันท์ ถือหุ้น 78,900,000 หุ้น หรือคิดเป็น 10.52% หลังขาย IPO จะลดเหลือ 7.89% และ น.ส.อนงค์ลักษณ์ แพทยานันท์ ถือหุ้น 78,150,000 หุ้น หรือคิดเป็น 10.42% หลังขาย IPO แล้วจะลดเหลือ 7.81%
บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับงบการเงินเฉพาะกิจการ และหลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมาย และบริษัทฯ ได้กำหนดไว้