“พาแนล พลัส” ในกลุ่มมิตรผล เดินหน้ารุกตลาดวัสดุทดแทนไม้ เปิดตัวไม้เคลือบเมลามีนคอลเลกชันใหม่หวังกระตุ้นยอดขายโค้งสุดท้ายของปี พร้อมเดินหน้ารุกตลาดฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ชี้ตลาดใหญ่สุดเอเชีย เผยยอดขาย 8 เดือน แตะ 2,500 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 3,300 ล้านบาท
นายเศรษฐพงศ์ จันทนยิ่งยง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ประจำกลุ่มธุรกิจวัสดุทดแทนไม้ บริษัท พาเนล พลัส จำกัด (ในกลุ่มมิตรผล) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่รูปแบบการอยู่อาศัยของคนไทยเปลี่ยนสังคมครอบครัวเล็ก นิยมอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น ต้องไลฟ์สไตล์การในการอยู่อาศัย โดยเชื่อว่าแทรนด์ของเฟอร์นิเจอร์ และการตกแต่งบ้านจะเน้นความเป็นธรรมชาติ ดังนั้น บริษัทจังได้ออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปด้วยงาน Trend & Design 2014: New Collections on Passionate Design by Panel Plus แนะนำคอลเลกชันใหม่ 11 ดีไซน์ของไม้เคลือบเมลามีนภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Patterns - Natural Balance - Freedom Attitude” มุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่เปลี่ยนไป ชูจุดเด่นโทนสีพิเศษ และผิวสัมผัสที่ให้ความรู้สึกเสมือนวัสดุธรรมชาติ ทนทานต่อการขีดข่วน ไม่ซึมซับน้ำ เหมาะกับทุกสภาพการใช้งานภายในอาคาร
โดยปัจจุบัน บริษัทผลิตวัสดุทดแทนไม้จากชานอ้อย และไม้ยางพารา โดยมีกำลังการผลิตไม้ปาร์ติเกิลบอร์ด 300,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ไม้เอ็มดีเอฟ 300,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี และไม้เคลือบกระดาษเมลามีน 23.5 ล้านตารางเมตรต่อปี
“ด้วยดีไซน์ที่สามารถปรับใช้ได้ในหลายฟังก์ชัน ทำให้เรามุ่งที่จะขยายตลาดผลิตภัณฑ์ไม้เคลือบเมลามีนภายในประเทศเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีการจัดจำหน่ายในประเทศในสัดส่วน 50:50 เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่น โดยจะเพิ่มขึ้นเป็น 60:40 ด้วยคอลเลกชันใหม่นี้ ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์หลักในการขยายตลาด” นายเศรษฐพงศ์กล่าว
ส่วนตลาดต่างประเทศในปัจจุบันตลาดส่งออกหลักอยู่ที่ประเทศมาเลชีย และอินเดีย อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เนื่องจากประชากรของทั้ง 2 ประเทศนี้รวมกันเกินครึ่งหนึ่งของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่มาก โดยที่ผ่านมาได้เข้าไปทำการตลาดบ้างแล้ว และจะรุกตลาดมากยิ่งขึ้น
นายเศรษฐพงศ์ กล่าวต่อว่า ตลาดวัสดุทดแทนไม้ในปีนี้มีอัตราการเติบโตเล็กน้อย จากปัจจัยลบหลายประการ โดยคาดว่าในปีนี้ยอดขายของบริษัทจะเติบโตขึ้นประมาณ 10% โดยตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 3,300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปีหน้าทิศทางตลาดจะปรับตัวดีขึ้น