หุ้นปิดครึ่งวันเช้าบวก 15 จุด ดัชนีเหวี่ยงตัวแรง โดยมีแรงซื้อในกลุ่มบิ๊กแคป นักวิเคราะห์มองเป็นเทคนิเคิลรีบาวนด์ เพราะเมื่อวานปรับตัวลงแรง เริ่มมีการเก็งกำไรผลประกอบการ Q3 กลุ่มแบงก์-พลังงาน พร้อมเตือนสถานการณ์ยังเสี่ยงผันผวน ทั้งปัจจัยภายใน และภายนอก แนะจับตา กม.งบประมาณชั่วคราวของสหรัฐฯ หากยังไม่ผ่านสภา หน่วยงานอาจถูกปิดในรอบ 17 ปี
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (1 ต.ค.) ดัชนีปิดครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,398.62 จุด เพิ่มขึ้น 15.46 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +1.12% มูลค่าการซื้อขาย 19,110.30 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อในกลุ่มบิ๊กแคป นักวิเคราะห์มองเป็นเทคนิเคิลรีบาวนด์เพราะเมื่อวานปรับตัวลงแรง ส่วนภาวพรวมการลงทุนในช่วงเช้า ดัชนีแกว่งตัวสวิงขึ้นลงแรงทั้งในแดนบวกและลบ
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าแกว่งตัวในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ได้ปรับตัวลงไปมากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวในแดนบวก โดยคาดว่าจะเป็นการเกิดเทคนิเคิลรีบาวนด์จากแรงซื้อหุ้นในบางกลุ่มที่น่าสนใจเพื่อการลงทุนระยะกลาง-ระยะยาว หลังจากราคาลงไปมากแล้ว
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องของงบประมาณรายจ่าย ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐบางแห่งต้องถูกปิดลงชั่วคราว มองว่าปัจจัยดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปัจจัยพื้นฐานของไทย แต่อาจจะเป็นในเชิง sentiment ที่ทำให้ดัชนีมีการแกว่งตัว
แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่าย คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวทั้งในแดนบวกและแดนลบ ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ช่วงทยอยประกาศผลประกอบการในไตรมาส 3/56 โดยหุ้นกลุ่มธนาคาร และกลุ่มพลังงาน น่าจะมีการประกาศตัวเลขออกมาดี พร้อมให้ติดตามตลาดหุ้นในแถบยุโรป พร้อมให้กรอบแนวรับ 1,365 จุด และแนวต้าน 1,400 จุด
ด้านนักวิเคราะห์ บล.ไอร่า จำกัด ยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีลักษณะแกว่งตัวผันผวน ภายใต้ปัจจัยกดดันจากปัญหาด้านการคลังของสหรัฐฯ ที่อาจต้องปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี พร้อมคาดว่ามีสัญญาณที่ดีจากประเด็นการพิจารณาของสภาผู้แทนฯ ต่อร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวของรัฐบาลสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ยังต้องจับตาประเด็นที่อาจมีผลต่อภาพรวมตลาดหลังจากนี้ ในส่วนของหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ที่คาดจะถึงเพดานในวันที่ 17 ตุลาคม 2556 นี้ รวมถึงความไม่แน่นอนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เกี่ยวกับวงเงินอัดฉีดรอบที่ 3 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี) ในการประชุมฯ วันที่ 29 และ 30 ตุลาคม 2556 นี้ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะปรับลดวงเงินคิวอีภายในปีนี้
ขณะที่การไหลออกของเงินทุนยังคงไหลออกจากภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่มทิป (ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปินส์) ที่ยังมีแรงขายสุทธิ ด้านปัจจัยในประเทศ ยังต้องติดตามประเด็นการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2556 ของหลายหน่วยงาน ซึ่งจะเป็นประเด็นที่กดดันตลาดต่อไป รวมทั้งต้องติดตามทิศทางค่าเงินบาทที่ส่งผลต่อกลุ่มส่งออก
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
CSS มูลค่า 1,748.13 ล้านบาท ปิด 3.58 บาท +0.28 บาท หรือ +8.48%
TRUE มูลค่า 996.21 ล้านบาท ปิด 8.00 บาท +0.25 บาท หรือ +3.23%
INTUCH มูลค่า 778.64 ล้านบาท ปิด 83.25 บาท +0.75 บาท หรือ +0.91%
KTB มูลค่า 756.85 ล้านบาท ปิด 19.50 บาท +0.30 บาท หรือ +1.56%
SCB มูลค่า 726.72 ล้านบาท ปิด 151.00 บาท +3.00 บาท หรือ +2.03%