“บล.ทิสโก้” คาดหุ้นผันผวนไปอีก 3-4 วัน เชื่อสัปดาห์หน้ามีลุ้นแตะ 1,500 จุด พร้อมประเมินผลกระทบ “น้ำท่วม” หากเสียหายหนักอาจกระทบเป้า ศก.ปลายปี “บล.ไอร่า” แนะจับตาชุมนุม “กปท.” หน้าทำเนียบ
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด มองทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยคาดจะแกว่งตัวผันผวนไปอีก 3-4 วัน เพื่อรอความชัดเจนจากปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งถ้าผ่านช่วงสัปดาห์หน้า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับ 1,480-1,500 จุด ได้ ส่วนกระแสเงินทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) ซึ่งก่อนหน้านี้ ขายสุทธิรวมแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท ช่วงนี้ จึงเป็นจังหวะทยอยเข้าซื้อกลับสลับกับขายออกบ้าง ตามความผันผวนของเศรษฐกิจไทย
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การเมืองภายในประเทศ และปัญหาอุทกภัย ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ปัญหานี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจนต้องปรับตัวเลขเศรษฐกิจ แต่ถ้าเกิดความเสียหายมากขึ้นหลังจากนี้อาจจะต้องมีการปรับลดตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงปลายปี
ด้านนักวิเคราะห์ บล.ไอร่า จำกัด (มหาชน) มองตลาดหุ้นยังรอภายใต้ความคาดหวังสภาคองเกรส อาจจะพิจารณาปรับเพิ่มเพดานหนี้ชั่วคราวให้แก่รัฐบาลกลาง เช่นเดียวกับที่ทำไปเมื่อช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อระดับหนี้ชนเพดานที่ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้มาตรการพิเศษต่างๆ เพื่อระดมทุน และชำระค่าใช้จ่ายของรัฐบาล
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 17 ต.ค.นี้ รัฐบาลสหรัฐฯ จะเหลือเงินสดในมือเพียง 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รายจ่ายรายวันสูงถึง 6.0 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดน่าจะมีทางออกที่ดีเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
อย่างไรก็ตาม คาดยังมีปัจจัยบวกจากประเด็นการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 29-30 ต.ค.นี้ ที่คาดในครั้งนี้เฟดอาจจะยังไม่พิจารณาปรับลดวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 3 (คิวอี) หลังมีการประกาศแต่งตั้งนางเจเน็ต เยลเลน ขึ้นเป็นประธานเฟดคนใหม่ และมีแนวโน้มที่จะสานต่อนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของนายเบอร์นันเก้
ส่วนทางด้านปัจจัยในประเทศ คาดยังเป็นปัจจัยเดิม โดยหลังวุฒิสภามีมติรับหลักการ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท โดยคาดน่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 30 วัน คาดน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แต่จากเม็ดเงินที่ไหลออก (Fund Flow) ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตามทิศทางเดียวกับกลุ่ม TIP (ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย)
พร้อมกันนี้ ยังแนะให้ติดตาม 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.การปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2556 ของหลายๆ หน่วยงาน ซึ่งคาดจะเป็นประเด็นกดดันตลาดต่อไป 2.ทิศทางค่าเงินบาทที่ส่งผลต่อกลุ่มส่งออก และประการที่ 3.การเคลื่อนไหวของกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ที่ล่าสุดมีการเคลื่อนย้ายจากสวนลุมพินี ไปปักหลักที่ทำเนียบรัฐบาล