แบงก์ออมสิน ถกสมาคมอุตสหกรรมยางพารา วางเงื่อนไขเงินกู้หมื่นล้าน เล็งดอกเบี้ยผ่อนปรนต่ำกว่า 5% แต่รัฐต้องอุดหนุนบางส่วน หวังยกระดับอุตสาหกรรมยางพาราตามนโยบาย แนะโรงงานใช้จัดซื้อเครื่องอุปกรณ์รายละไม่เกิน 10-20 ล้าน
จากกรณีรัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ 1.5 หมื่นล้านบาท นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยความคืบหน้าว่า ในส่วนของธนาคารออมสิน ที่จะเข้าไปสนับสนุนเงินทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ให้ผู้ประกอบการเพื่อผลิตสินค้าแปรรูปจากผลิตภัณฑ์ยางพารา ในเบื้องต้น ธนาคารออมสินจะปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการสำหรับปรับเปลี่ยนเครื่องจักรอุปกรณ์ใหม่ หรือซ่อมแซมเครื่องจักรเดิมซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้กอบการรายเล็ก และรายกลางที่อาจจะมีโรงานอยู่แล้วจึงต้องการวงเงินต่อรายไม่สูงมากนักประมาณ 10-20 ล้านบาท
“ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเหมือนการให้เงินกู้ซอฟต์โลนที่เคยปล่อยให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เคยทำมาในอดีต เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมยางพาราในระยะกลาง และระยายาวปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำยางดิบปรับตัวสูงขึ้น เร็วๆ นี้ธนาคารจะนัดหารือกับภาคเอกชน โดยเฉพาะนายกสมาคมอุตสาหกรรมยางพาราเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์รายละเอียดการกู้เงินอีกครั้งทั้งวงเงินต่อราย อัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขการกู้เงิน ส่วนตัวมองว่าหากจะให้เอกชนมีภาระต้นทุนไม่สูงเกินไปรัฐบาลควรเข้ามาอุดหนุนอัตราดอกเบี้ยบางส่วน”
ทั้งนี้ ธนาคารสามารถปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำได้ที่ระดับ 5% แต่หากจะให้ดอกเบี้ยต่ำกว่านี้รัฐบาลก็ต้องเข้ามารับภาระดอกเบี้ยแทนผู้ประกอบการบางส่วน เพื่อให้ดอกเบี้ยลดลงมาอยู่ที่ 3-4% ได้ ส่วนการปล่อยกู้ก็อาจจะเหมือนกับการให้ลีสซิ่งเช่าซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์อื่นๆ เช่น โรงงานมาเป็นหลักประกัน เพราะเอกชนบางรายโรงงานอาจจะติดจำนองที่สถาบันการเงินอื่นๆ อยู่แล้ว และคงไม่ได้เป็นการปล่อยกู้เพื่อสร้าง หรือลงทุนโรงงานเพราะต้องใช้วงเงินสูง
“ธนาคารกำลังพิจารณารูปแบบการปล่อยกู้ที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการให้มากที่สุดเพราะถือเป็นนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลืออุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบในระยะกลาง และระยะยาวให้สามารถอยู่ได้ โดยเน้นไปที่การแปรรูปยางดิบให้เป็นสินค้าอื่นๆ เช่น ถุงมือยาง อาจจะมีการสนับสนุนให้จัดซื้อเครื่องจักรใหม่ให้มีการผลิตมากขึ้น หรือยางรถยนต์ พรมปูพื้นที่เรายังไม่ได้ผลิตเองมากนัก แต่กลับส่งยางดิบไปประเทศอื่นเพื่อผลิตแล้วส่งกลับมาขายในบ้านเรา หากเราเร่งเพิ่มมูลค่าให้สินค้าได้เองก็จะช่วยให้ยางในประเทศขยับสูงขึ้นได้ในอนาคต” นายวรวิทย์กล่าว
ส่วนของวงเงินหมื่นล้านบาทนั้น ธนาคารมีสภาพคล่องเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว และการปล่อยกู้ดังกล่าวก็จะไม่ซ้ำซ้อนกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่เตรียมวเงินไว้ 5 พันล้านบาทสำหรับปล่อยกู้กลุ่มเกษตรกร
สำหรับการปล่อยกู้ในโครงการบริการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ที่ธนาคารออมสินต้องปล่อยประมาณครึ่งหนึ่งนั้น ขณะนี้ทางกระทรวงการคลัง ยังไม่ได้ส่งแผนความต้องการใช้เงินมายังธนาคาร ยังอยู่ระหว่างสำรวจแบบลงทุน และทำประชาพิจารณ์ จึงอาจจะไม่ได้ใช้เงินในปีนี้ แต่หากต้องการเบิกเงินก็สามารถแจ้งเข้ามาภายใน 10 วัน เพื่อจะได้จัดเตรียมวงเงินไว้ให้ ซึ่งแต่ละครั้งน่าจะเป็นแค่หลักหมื่นล้านบาทเท่านั้น ส่วนผลของการลงนามกู้เงินตามกฎหมายนั้นธนาคารออมสินถือว่าดำเนินการตามนโนบายของกระทรวงการคลัง
จากกรณีรัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ 1.5 หมื่นล้านบาท นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยความคืบหน้าว่า ในส่วนของธนาคารออมสิน ที่จะเข้าไปสนับสนุนเงินทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ให้ผู้ประกอบการเพื่อผลิตสินค้าแปรรูปจากผลิตภัณฑ์ยางพารา ในเบื้องต้น ธนาคารออมสินจะปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการสำหรับปรับเปลี่ยนเครื่องจักรอุปกรณ์ใหม่ หรือซ่อมแซมเครื่องจักรเดิมซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้กอบการรายเล็ก และรายกลางที่อาจจะมีโรงานอยู่แล้วจึงต้องการวงเงินต่อรายไม่สูงมากนักประมาณ 10-20 ล้านบาท
“ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเหมือนการให้เงินกู้ซอฟต์โลนที่เคยปล่อยให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เคยทำมาในอดีต เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมยางพาราในระยะกลาง และระยายาวปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำยางดิบปรับตัวสูงขึ้น เร็วๆ นี้ธนาคารจะนัดหารือกับภาคเอกชน โดยเฉพาะนายกสมาคมอุตสาหกรรมยางพาราเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์รายละเอียดการกู้เงินอีกครั้งทั้งวงเงินต่อราย อัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขการกู้เงิน ส่วนตัวมองว่าหากจะให้เอกชนมีภาระต้นทุนไม่สูงเกินไปรัฐบาลควรเข้ามาอุดหนุนอัตราดอกเบี้ยบางส่วน”
ทั้งนี้ ธนาคารสามารถปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำได้ที่ระดับ 5% แต่หากจะให้ดอกเบี้ยต่ำกว่านี้รัฐบาลก็ต้องเข้ามารับภาระดอกเบี้ยแทนผู้ประกอบการบางส่วน เพื่อให้ดอกเบี้ยลดลงมาอยู่ที่ 3-4% ได้ ส่วนการปล่อยกู้ก็อาจจะเหมือนกับการให้ลีสซิ่งเช่าซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์อื่นๆ เช่น โรงงานมาเป็นหลักประกัน เพราะเอกชนบางรายโรงงานอาจจะติดจำนองที่สถาบันการเงินอื่นๆ อยู่แล้ว และคงไม่ได้เป็นการปล่อยกู้เพื่อสร้าง หรือลงทุนโรงงานเพราะต้องใช้วงเงินสูง
“ธนาคารกำลังพิจารณารูปแบบการปล่อยกู้ที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการให้มากที่สุดเพราะถือเป็นนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลืออุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบในระยะกลาง และระยะยาวให้สามารถอยู่ได้ โดยเน้นไปที่การแปรรูปยางดิบให้เป็นสินค้าอื่นๆ เช่น ถุงมือยาง อาจจะมีการสนับสนุนให้จัดซื้อเครื่องจักรใหม่ให้มีการผลิตมากขึ้น หรือยางรถยนต์ พรมปูพื้นที่เรายังไม่ได้ผลิตเองมากนัก แต่กลับส่งยางดิบไปประเทศอื่นเพื่อผลิตแล้วส่งกลับมาขายในบ้านเรา หากเราเร่งเพิ่มมูลค่าให้สินค้าได้เองก็จะช่วยให้ยางในประเทศขยับสูงขึ้นได้ในอนาคต” นายวรวิทย์กล่าว
ส่วนของวงเงินหมื่นล้านบาทนั้น ธนาคารมีสภาพคล่องเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว และการปล่อยกู้ดังกล่าวก็จะไม่ซ้ำซ้อนกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่เตรียมวเงินไว้ 5 พันล้านบาทสำหรับปล่อยกู้กลุ่มเกษตรกร
สำหรับการปล่อยกู้ในโครงการบริการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ที่ธนาคารออมสินต้องปล่อยประมาณครึ่งหนึ่งนั้น ขณะนี้ทางกระทรวงการคลัง ยังไม่ได้ส่งแผนความต้องการใช้เงินมายังธนาคาร ยังอยู่ระหว่างสำรวจแบบลงทุน และทำประชาพิจารณ์ จึงอาจจะไม่ได้ใช้เงินในปีนี้ แต่หากต้องการเบิกเงินก็สามารถแจ้งเข้ามาภายใน 10 วัน เพื่อจะได้จัดเตรียมวงเงินไว้ให้ ซึ่งแต่ละครั้งน่าจะเป็นแค่หลักหมื่นล้านบาทเท่านั้น ส่วนผลของการลงนามกู้เงินตามกฎหมายนั้นธนาคารออมสินถือว่าดำเนินการตามนโนบายของกระทรวงการคลัง
