xs
xsm
sm
md
lg

จับตา ก.ย. ประเด็น QE3 เพิ่มแรงกดดันหุ้นไทย คาดเงินบาทผันผวนต่อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หุ้นไทยกันยายน ความกังวลก่อนผลประชุมเฟดยังกดดันตลาดผันผวน ประเมินหากลดวงเงินยังมีเม็ดเงินต่างชาติที่รอถูกขายเพื่อขนกลับอีก 4 หมื่นล้านบาท แต่หากคงมาตรการ และไม่ลดวงเงิน มีโอกาสเห็นดัชนีกลับขึ้นไปเหนือ 1,400 จุด โบรกฯ ห่วงเงินบาทอ่อนค่าช่วยซ้ำเติม พร้อมมอง 3 กลุ่ม ชิ่นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน เกษตร-อาหาร ปรับตัวสูงขึ้นจากการเข้าสู่ช่วง High Season และผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว

ดัชนีหุ้นไทยปิดส่งท้ายเดือนสิงหาคม (30 ส.ค.) บวก 1.77 จุด อยู่ที่ระดับ 1,294.30 จุด มูลค่าการซื้อขาย 32,344.68 ล้านบาท สรุปยอดการซื้อขายสะสมในช่วงวันที่ 1-30 สิงหาคม พบว่า นักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิรวม 34,115.52 ล้านบาท สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิรวม 11,369.58 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิรวม -39,939.09 ล้านบาท และบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิรวม -5,546.01 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน มูลค่าการซื้อขายสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.2556-30 ส.ค.2556 พบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิรวม -116,025.32 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิรวม -10,810.24 ล้านบาท ในขณะที่สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิรวม 71,267.53 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิรวม 55,568.02 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี จำกัด (มหาชน) จัดทำบทวิเคราะห์แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนกันยายน 2556 ว่า การเข้าสู่ภาวะถอถอยของเศรษฐกิจไทยจาก GDP ที่ลดลงต่อเนื่อง 2 ไตรมาส กดดัน Set Index กลับมาอยู่ในแนวโน้มขาลงอีกครั้ง และความผันผวนของตลาดน่าจะเพิ่มขึ้นสูงเมื่อใกล้การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่การลดวงเงิน หรือการยุติมาตรการ QE3 จะถูกนำมาพิจารณาอีกครั้ง

“กลยุทธ์ในเดือนนี้ เราเน้นความระมัดระวังสูง ทยอยขายหุ้นที่ผันผวนกว่าตลาด และเลือกลงทุนในหุ้นที่มีกำไรขาขึ้น และผลประกอบการเชื่อมโยงกับการฟื้นตัวของประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่ง Top Picks ได้แก่ SVI BCP PTT TUF และ STA”

ทั้งนี้ บล.กรุงศรี เชื่อเศรษฐกิจไทยจะหลุดพ้นภาวะถดถอยในไตรมาส 3/56 อย่างไรก็ดี GDP ใน 2 ไตรมาสที่เหลือ ต้องโตในระดับ 3-4% จากปีที่ผ่านมา แต่ในไตรมาส 4/55 GDP เติบโตสูงถึง 19% จากช่วงเดียวกันใสนปี 2554 ซึ่งอาจทำให้ไตรมาสสุดท้ายปีนี้การเติบโตออกมาต่ำ

ด้านกำไรสุทธิ บริษัทจดทะเบียน(ไม่ร่วมmai) เท่ากับ 1.64 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันปี 2555 แต่ลดลง 32% จากไตรมาส 1/56 ส่งผลให้ในครึ่งปีแรก บจ.กำไร 4.18 แสนล้านบาท โตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 27% หรือคิดเป็น 50% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2556

บล.กรุงศรี ให้ความสำคัญต่อการประชุมของเฟด (17-18 ก.ย.) มาก เพราะผลสำรวจจาก Bloomberg บ่งชี้ว่า 65% ของนักเศรษฐศาสตร์ 48 ราย เชื่อว่า เฟด จะลดวงเงินใน QE3 เหลือ 7.5 เหมือนล้านบาท/เดือน จากเดิม 8.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบอย่างมากต่อการลงทุน แม้จะประเมินว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีโอกาสฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2557 แต่จากที่ท่าทีของคณะกรรมการเฟด เริ่มแสดงออกถึงการลดวงเงินใน QE ค่อนข้างชัดเจนผ่านรายงานการประชุม ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น และแม้ไม่เกิดขึ้นในการประชุมครั้งนี้ แต่การประชุมอีก 2 ครั้งช่วงตุลาคม และธันวาคมก็ยังมีโอกาสได้เห็น

นอกจากนี้ แม้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนจะหดตัวลดลงอีกเป็นปีที่ 2 แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป สะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ที่ออกมา

ดังนั้น บล.กรุงศรี จึงประเมินดัชนีหุ้นไทยเดือนกันยายน 2556 ว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,270-1,350 จุด และยังมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 1,400 จุดได้ แต่โอกาสผ่านไปได้นั้นตอนนนี้ยังประเมินว่ายากอยู่ โดย ณ ปัจจุบัน ดัชนีหุ้นไทยหลุดกรอบ P/E ที่ 14-15 เท่า ที่เคยซื้อขาย ซึ่งหากเฟดเลือกที่จะไม่ลด หรือถอนมาตรการ QE3 ก็จะทำให้หุ้นไทยมีโอกาสกลับขึ้นซื้อขายในค่าระดับP/E เท่าเดิม โดยมีแนวต้านที่ระดับ P/E 15 เท่าที่ระดับ 1,420 จุด

ในทางกลับกันหาก เฟดมีการปรับลดวงเงินลงมากกว่า 10,000 ล้านเหรียญ/เดือน หรือถอนมาตรการ QE3 ออก บริษัทมองแนวรับให้เข้าสะสมหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาวที่ระดับ P/E ที่ 13 เท่า หรือ 1,220-1,230 จุด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การอ่อนค่าของเงินบาทที่มากสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งเกิดขึ้นจากความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลง ทำให้เงินทุนไหลออกนั้น หากภาครัฐไม่มีมาตรการใหม่ออกมาเพื่อรักษาระดับราคา ก็คาดว่าค่าเงินบาทจะยังอยู่ในทิศทางที่อ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นปัจจัยลบกดดันตลาดหุ้นไทย

“ตอนนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ที่ 2.95% ถือว่าตอกย้ำความเป็นไปได้ที่เฟดจะลดขนาด QE3”

บล.กรุงศรี ให้ความเห็นต่อแรงขายของนักลงทุนต่างชาติว่า หากพิจารณาการเข้าซื้อสุทธิสะสมมาตั้งแต่มกราคม 2553 หรือหลังเกิดวิกฤตซับไพรม์ราว 1 ปี พบว่า ยังมีเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาคงค้างในตลาดหุ้นไทยอีกแล้ว 40,000 ล้านบาท ทำให้ประเมินว่ายังมีโอกาสที่เม็ดเงินดังกล่าวจะถูกเทขายออกมาเพิ่มเติม หากมีการลดวงเงินใน QE3 จริง

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บล.กรุงศรี แนะนำเข้าลงทุนในหุ้น โดยเน้น Global plays เพื่อสอดคล้องกับภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลุมประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก ผสมผสานกับกลยุทธ์ Earnings momentum เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรในครึ่งปีหลังโตขึ้นจากครึ่งปีแรก ซึ่งพบว่ามี 3 กลุ่มที่น่าสนใจ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไตรมาส 3 ของทุกปีถือเป็นช่วง High season ประกอบกับการที่เงินบาทที่อ่อนค่า และการฟื้นตัวของประเทศที่พัฒนาแล้ว จะช่วยหนุนอุปสงค์ โดยหุ้นเด่นคือ SVI

นอกจากนี้ กลุ่มพลังงาน เพราะราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลความต้องการใช้สูงในสหรัฐฯ และทั้งยังมีแรงผลักดันจากสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง ทั้งซีเรีย และอียิปต์ ซึ่งหุ้นเด่น คือ BCP และ PTT ขณะที่กลุ่มเกษตร-อาหาร คาดว่าน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว โดย TUF และSTA มีความโดดเด่น

ส่วนแนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 2-6 ก.ย.2556 บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนียังคงผันผวนโดยที่มีโอกาสฟื้นตัวขึ้น ขณะที่ต้องติดตามข้อมูลภาคการผลิตในยูโรโซน และจีน รวมทั้งรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ เช่น การใช้จ่ายผู้บริโภค เครื่องชี้ภาคการผลิต (ISM Manufacturing) รายงานสภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) เครื่องชี้ภาคบริการ (ISM Non-Manufacturing) และการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่าดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,260 และ 1,247 ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,328 และ 1,370 ตามลำดับ
กำลังโหลดความคิดเห็น