บิ๊กศุภาลัยฯ เผยยอดปฏิเสธสินเชื่อบ้านแนวราบเพิ่ม คาดสาเหตุหนี้ครัวเรือนพุ่ง แถมเศรษฐกิจชะลอตัวฉุดกำลังซื้อหด ขณะที่ตลาดคอนโดฯ รถคันแรกทำลูกค้าหาย เร่งขยายคอนโดฯ เกาะแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ล่าสุด เปิดตัว ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท สถานีพระนั่งเกล้า มูลค่า 1,750 ล้านบาท กวาดยอดขายแล้ว 400 ล้านบาท จากลูกค้าเก่า ด้านผู้บริหารออริจิ้นฯ ยอมรับลูกค้าที่กู้ซื้อคอนโดฯ ใหม่อาจจะยากขึ้น ส่วนลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯ ของบริษัทถูกปฏิเสธสินเชื่อน้อยมากแค่ 2-3%
นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องมีความระมัดระวังในการลงทุน โดยการเปิดโครงการใหม่จะต้องดูความเหมาะสมทั้งด้านเศรษฐกิจ และปัจจัยการเมือง โดยจะเห็นได้จากการเปิดตัวโครงการใหม่
สำหรับศุภาลัย ไม่ได้ชะลอการลงทุนแต่อย่างใด พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการตามแผนที่วางเอาไว้อีก 16 โครงการ มูลค่ามากกว่า 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ส่วนบ้านแนวราบ 12 โครงการ มูลค่าประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากเกิดความผิดปกติไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง หรือเศรษฐกิจตกต่ำเกิดขึ้นบริษัทก็จะพิจารณาการลงทุนใหม่ตามภาวะตลาด
“ในส่วนของผู้บิโภคได้รับผลกระทบจากการมีหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากหนี้บัตรเครดิต จากรถยนต์คันแรก ซึ่งลูกค้าบางส่วนไม่สามรถผ่อนรถได้ ทำให้กลุ่มนี้ซื้อบ้านไม่ได้ เพราะไม่สามารถผ่อนทั้งบ้าน และรถได้ในเวลาเดียวกัน บางรายผ่อนไม่ไหวกลายเป็นหนี้ ต้องใช้เวลา 2-3 ปี กว่าจะถูกลบออกจากแบล็กลิสต์ รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากราคาหุ้นผันผวน”
นอกจากนี้ ยังพบว่าลูกค้าบางส่วนโดยเฉพาะที่ซื้อโครงการแนวราบมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยมาจากหลายสาเหตุ ทั้งมีเงินก้อนสำหรับวางดาวน์ไม่เพียงพอ ได้รับวงเงินสินเชื่อน้อยลง เนื่องจากการสร้างบ้านเดี่ยวเสร็จเร็วระยะเวลาจอง และทำสัญญาสั้น ลูกค้ามีเวลาเตรียมด้านการเงินน้อย ไม่มีเวลาผ่อนดาวน์น้อย ซึ่งโดยภาพรวมมียอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 20% สำหรับโครงการแนวราบ โดยในส่วนของศุภาลัย มียอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 10% จากเดิมอยู่ที่ 7% ส่วนคอนโดมิเนียม ยอดปฏิเสธสินเชื่อยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทได้เก็บเงินดาวน์ตั้งแต่ 15-25 % ขึ้นอยู่กับโครงการ และทำเล บริษัทจะมีการนัดลูกค้าเพื่อตรวจความพร้อมขอสินเชื่อ (พรีแอพพรูฟ) ให้ก่อนที่จะโอน 3 เดือน เพื่อที่ลูกค้าจะได้เตรียมเงินสำหรับโอนห้องชุด
วางเป้าผุดคอนโดฯ เกาะรถไฟฟ้าทุกสาย
นายอธิป กล่าวต่อว่า ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมซื้อคอนโดฯ ตามแนวรถไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากปัญหาการจรจรติดขัด ราคาน้ำมันแพง ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนเกาะไปกับแนวรถไฟฟ้าทั้งสายเก่าและส่วนต่อขยาย โดยเฉพาะโครงการที่มีการก่อสร้างแล้วเสร็จ เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วงบางใหญ่-บางซื่อ ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ตั้งแต่สถานนีบางซื่อ ไปจนถึงสะพานพระนั่งเกล้า ปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์กว่า 35 โครงการ เป็นโครงการของศุภาลัย 5 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการมียอดขายเฉลี่ย 80% โดยสถานีที่มีการพัฒนาโครงการมาก คือ ย่านรัตนาธิเบศร์ ติวานนท์ กรุงเทพนนท์-บางซื่อ ราคาขายเฉลี่ย 40,000-70,000 บาทต่อตารางเมตร นอกจากนี้ ยังพบว่าราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา 15-20% ตารางวาละ 150,000-200,000 บาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทสนใจที่จะลงทุนพัฒนาโครงการตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเกือบทุกเส้นทาง โดยได้ศึกษาโครงการรถไฟฟ้าสายอื่น เช่น สายสีชมพู สายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายสายสีเขียว เพื่อรอพัฒนาโครงการในระยะต่อไป
ล่าสุด บริษัทได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียม “ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท สถานีพระนั่งเกล้า-เจ้าพระยา” ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีพระนั่งเกล้า-เจ้าพระยา จำนวน 733 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,750 ล้านบาท ที่ผ่านมา ได้เปิดให้ลูกค้าเก่าจองล่วงหน้ามียอดขายแล้ว 180 ยูนิต มูลค่า 400 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดขาย และจะเปิดให้ลูกค้าทั่วไปจองอย่างเป็นทางการวันที่ 21-22 กันยายนนี้
“ออริจิ้นฯ” ชี้ลูกค้ารายใหม่กู้ยากขึ้น
นายพีระพงศ์ จรูญเอก กรรมการบริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดฯ เกาะแนวรถไฟฟ้า โซนสุขุมวิทตอนปลาย กล่าวว่า ในส่วนของลูกค้าที่ซื้อโครงการคอนโดฯ ของบริษัทฯ นั้น ต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือ ลูกค้าที่อยู่ระหว่างการโอนนั้น สัดส่วนการกู้ไม่ผ่านมีประมาณไม่มากประมาณ 2-3% ขณะที่ในระบบมีมากกว่า 10% แต่หากเป็นลูกค้าที่เริ่มซื้อคอนโดฯ ใหม่ (พรีเซล) ตรงนี้จะยากขึ้น เนื่องจากลูกค้ามีภาระในด้านค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ก็ช่วยคัดกรองลูกค้าของโครงการแม้การซื้อจะช้าไปบ้าง
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ยอดปฏิเสธสินเชื่อของโครงการไม่มาก เพราะมีเป้าหมายลูกค้าที่ชัดเจนที่เน้นกลุ่มคนทำงานในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ซึ่งจะมีโรงงาน และธุรกิจที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรม กลุ่มนี้มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย มีกำลังซื้อสูงรองจากกรุงเทพฯ โดยจีดีพีใน จ.สมุทรปราการ มีประมาณ 7 แสนล้านบาท ซึ่งลูกค้าที่เกี่ยวกับอุตฯ ทางโครงการจะมีสัดส่วนประมาณ 70% ขณะที่กลุ่มลูกค้าที่ทำงานในสำนักงานมีสัดส่วน 30% เช่น โซนเพลินจิตถึงอโศก มีเครดิตเยอะ ถือบัตรเครดิตหลายใบ ทำให้เกิดรายจ่ายค่อนข้างมาก ซึ่งกลุ่มดังกล่าวอาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่อาจจะชะลอตัวลง