หวั่นคนผ่อนบ้านไม่ไหว หลังภาระหนี้ครัวเรือนพุ่ง

อสังหาฯ หวั่นประชาชนผ่อนบ้านไม่ไหว หลังกระอักหนี้ครัวเรือนพุ่งสูง จับตาเศรษฐกิจโลกทรุด การเมืองไทยส่อระอุ ฉุดอสังหาฯ ครึ่งปีหลังทรุดตาม แต่ยังหวังค่าบาทอ่อนส่งออกกระเตื้องช่วยส่งออกได้ ลุ้นผ่าน พ.ร.บ.2.2 ล้านล้านกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปลายปี

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยภายหลังเปิดงานอภิมหกรรมบ้าน-คอนโด และสินเชื่อแห่งปี ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-25 ส.ค. นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า เป็นห่วงกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชน ที่ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณของคนไม่มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น จากการที่มีหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น ทั้งหนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้รถยนต์คันแรก หนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่ส่งผลกระทบให้ความสามารถในการผ่อนชำระค่างวดที่อยู่อาศัยลดน้อยลง จนทำให้สถาบันการเงินไม่สามารถอนุมัติวงเงินที่ขอกู้ซื้อบ้านให้ได้ ทั้งๆ ที่เกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อยังคงเดิม

ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตดี โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่การเติบโตของผู้ประกอบการไม่ได้ดีทุกราย ส่วนใหญ่รายใหญ่จะเติบโตมาก เพราะมีการเปิดโครงการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่รายเล็กมีการชะลอตัวลงไปบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ที่มีสถานกาณ์การเมืองเข้ามากดดัน รวมไปถึงเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงมาก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ จนน่าจับตามองว่าในช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะกระเตื้องขึ้นหรือไม่

“หวังว่าการที่ค่าบาทอ่อนค่าลงจะช่วยให้การส่งออกของไทยดีขึ้น ประกอบการหากมีการผ่าน พระราชบัญติ (พ.ร.บ.) 2.2 ล้านล้านบาท จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยในช่วงปลายปีได้” นายพรนริศกล่าว

ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย เลขาธิการสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย กล่าวว่า ปัจจุบันความสามารถในการขอสินเชื่อของลูกค้าลดลง เนื่องจากมีหนี้สินมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้สัดส่วนของลูกค้าที่ขอสินเชื่อไม่ผ่านจะมาจากปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ประมาณ 30% ความสามารถในการผ่อนชำระหรือมีหนี้มาก 30% และอื่นๆ 40% แต่ปัจจุบัน ความสามารถในการผ่อนชำระเพิ่มขึ้นเป็น 50% NPL 20% อื่นๆ 30% สะท้อนหนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงมาก

นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ป้องกันการเก็งกำไร ด้วยการกำหนดให้ลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านหลังที่ 3 ขึ้นไป ต้องจ่ายอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) สูงขึ้นเป็น 20% ตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมาแล้ว เพื่อป้องกันการซื้อเก็งกำไร และช่วยลดความเสี่ยงด้านการเงินของธนาคารด้วย