xs
xsm
sm
md
lg

ตลท.มาร์เกตแคปร่วง สถาบัน-รายย่อยช้อนแสนล. หวั่นวิกฤตเงินเอเชียอ่อน-ตปท.ขายหนัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - หุ้นร่วงต่ออีก 15 จุด มาร์เกตแคปหลุด 12 ล้านล้านบาท เบ็ดเสร็จยังไม่หมดสิงหาคม ต่างชาติขายแล้ว 3 หมื่นล้าน ดันยอดขายตั้งแต่ต้นปี 106,701 ล้านบาท สถาบัน-รายย่อยเข้ารับจนไหลลู่ โบรกฯ ชี้ความกังวลต่อมาตรการ QE ถล่มค่าเงินเอเชียอ่อนตัวหนัก จนหวั่นเกิดวิกฤตหลังต่างชาติกระหน่ำขาย ส่วนไทยโดนอีก 2 เด้งเศรษฐกิจชะลอตัว และสถานการณ์การเมือง ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อเป็นเพียงระยะสั้นๆ มั่นใจสิ้นปียังได้เห็น 1,500 จุด เห็นมีไอพีโอใหม่ดึงดูดเม็ดเงินอีกเพียบ แถมสัดส่วนนักลงทุนในประเทศยังเพิ่มเกินเป้า

ตลาดหุ้นไทย วันนี้ (21 ส.ค.) ดัชนีหลักทรัพย์ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบต่อเนื่อง โดยปิดที่ ระดับ 1,355.14 จุด ลดลง 15.72 จุด ระหว่างวันสูงที่ระดับ 1,374.02 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,354.02 จุด มูลค่าการซื้อขาย 41,865.57 ล้านบาท โดยจากปิดตลาดเมื่อวันที่ 15 ส.ค.พบว่าดัชนีฯ ปรับลดลงไปแล้ว 97.93 จุด และจากการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องของดัชนีฯ ก็มีผลทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ของตลาดหุ้นไทยหลุดระดับ 12 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 11,820,053.86 ล้านบาท

โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเพิ่มขึ้น 5,702.59 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ขายสุทธิ 3,434.30 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 4,026.36 ล้านบาท และสถาบันซื้อสุทธิ 3,43.30 ล้านบาท โดยรวมตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. นักลงทุนทั่วไปซื้อสะสม 23,976.96 ล้านบาท และสถาบันซื้อสะสม 11,327.13 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติ ขายออกมา 30,615.21 ล้านบาท และดันยอดขายสะสมตั้งแต่ต้นปีแตะที่ระดับ 106,701.44 ล้านบาท ซึ่งมีสถาบันซื้อสะสม 71,225.08 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปซื้อสะสม 45,429.45 ล้านบาท

นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย แต่วันนี้ถือว่าปรับตัวลงน้อยลงกว่า 2 วันที่ผ่านมา เพราะได้รับแรงซื้อกลับบ้างจากหุ้นในกลุ่มสื่อสารและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ Domestic Demand สามารถไปต่อได้ โดยเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ยังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำไปได้นานขึ้น จากเดิมคิดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่จะปรับขึ้นในช่วงต้นไตรมาส 2/57 แต่เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะเลื่อนออกไป โดยล่าสุด คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.50% เท่าเดิม

ขณะเดียวกัน พบว่าสาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกไปอย่างต่อเนื่องมาจากสกุลค่าเงินของประเทศในเอเชียอ่อนค่าลงมาไม่เฉพาะไทย ได้แก่ จาก อินเดีย และอินโดนีเซีย จนมีความกังวลว่าอาจเกิดวิกฤตค่าเงินขึ้นภูมิภาคนี้ โดยประเทศไทยยังมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง เป็นแรงเสริมกดดันดัชนีหลักทรัพย์ด้วย ทำให้แนวโน้มการลงทุนวันพรุ่งนี้ (22 ส.ค.) ดัชนีจะแกว่งตัวรอข่าวการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จึงให้แนวรับไว้ที่ 1,340-1,320 จุด ส่วนแนวต้าน 1,380-1,390 จุด

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากการไหลออกของเงินลงทุนต่างชาติ ที่ล่าสุดสุทธิกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท โดยสูงสุดต่อวันในรอบ 7 ปี ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2556 ต่างชาติขายสุทธิทั้งสิ้นราว 1 แสนล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติยังมีการขายหนักในตลาดอนุพันธ์ด้วยเกือบ 4.4 พันสัญญา ท่ามกลางความวิตกเรื่องเศรษฐกิจของหลายประเทศในภูมิภาค และการปรับลดมาตรการ QE ส่งผลให้ค่าเงินหลายสกุล รวมถึงเงินบาทอ่อนลงอย่างหนัก ซึ่งวานนี้อยู่ที่ประมาณ 31.66 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ตลท.รับเงินไหลออกแสนล. แต่ไม่วิกฤตเท่าปี 2008   

นางเกศรา มัญชุศรี รองผู้จัดการ สายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า เฉลี่ยนักลงทุนต่างประเทศที่ทยอยขายหุ้นจากตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนกรฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งสรุปยอดสุทธิล่าสุด ประมาณ 1.7 แสนล้านบาทแล้ว แต่โดยรวมแล้วยังถือว่าไม่มากหากเทียบกับปริมาณยอดการขายของปี 2008 ซึ่งถือว่าเป็นภาวะวิกฤตของเศรษฐกิจในขณะนั้น ส่วนหนึ่งมาจากสถาบันการเงินในสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งขณะนั้นมีนักลงทุนต่างชาติทยอยขายหุ้นไทยรวมกว่า 1.6 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยในรอบสัปดาห์นี้ยังไม่รุนแรงมากนัก หากเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหุ้นไทย หรือ Market Cap ในปัจจุบัน ซึ่งอัตราเฉลี่ยประมาณ 12 ล้านล้านบาท โดยถือว่าเป็นเม็ดเงินที่ไหลออกน้อยมาก ขณะที่นักลงทุนรายย่อยในปีนี้กลับเพิ่มจำนวนยอดบัญชีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งปี ตลท.ตั้งเป้ายอดบัญชีนักลงทุนรายใหม่ปีนี้ไว้ที่ 7 หมื่นบัญชี ขณะที่ครึ่งปีแรกมีนักลงทุนเข้ามาเปิดบัญชีใหม่ โดยไม่ซ้ำกับยอดบัญชีเก่าแล้วกว่า 9.6 หมื่นบัญชี

อย่างไรก็ดี คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปีนี้จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในระดับ 1,500 จุด เนื่องจาก Market Cap ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านล้านบาท และค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 15 เท่า ประกอบกับยังมีบริษัทจดทะเบียนที่รอเข้าซื้อขายหุ้น IPO อีกหลายบริษัท ซึ่งจะสามารถดึงความสนใจจากนักลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้อีกมาก
       
        
กำลังโหลดความคิดเห็น