xs
xsm
sm
md
lg

2 วันหุ้นร่วงเฉียด 100 จุด ตปท.ขนออกอีก 1 หมื่นล. แถมฟันกำไรบาทอ่อนเพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สื่อนอกโหมข่าวจีดีพีไทยร่วง ทำให้นักลงทุนต่างชาติอาศัยช่วงบาทอ่อนแห่เทขายหุ้นอีก 1.1 หมื่นล้าน กดดัชนีหุ้นปรับลง 27.62 จุด ระหว่างวันร่วงถึง 45 จุด ภาพรวม 2 วันลดเฉียด 100 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยอมรับต่างชาติขายสุทธิแล้ว 7หมื่นล้าน แต่ยืนยันคงเป้ามาร์เกตแคป 3 ปีข้างหน้า 21 ล้านล้านบาท โบรกฯ ชี้กระแสเงินไหลออกภูมิภาคจากความกังวลมาตรการ QE ที่มีโอกาสปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรสูง คาดวันนี้มีโอกาสเห็นรีบาวนด์หลังร่วงแรง

    ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (20 ส.ค.) ข่าวลบในเรื่องจีดีพีไตรมาส 2 ของประเทศไม่เป็นไปตามคาดการณ์ยังสร้างความกังวลต่อนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศต่างเทขยหุ้นออกมาจำนวนมาก หลังสำนักข่าวชื่อดังในต่างประเทศ และสถาบันการเงินชั้นนำทั้งใน และนอกประเทศต่างออกมายอมรับว่า เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว 2 ไตรมาส เข้าสู่ภาวะถดถอยจริง โดยปิดที่ระดับ  1,370.86 จุด ลดลง 27.62 จุด  หรือ 1.98% มูลค่าการซื้อขาย 58,041.96 ล้านบาท

โดยระหว่างวันปรับตัวลงต่ำสุด 45.46 จุด ที่ระดับ 1,353.02 จุด และสูงสุดระหว่างวันอยู่ที่ระดับ 1,379.27 จุด ด้านนักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 11,362.27 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ขายสุทธิ 1,348.82 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 9,059.19 ล้านบาท และสถาบันซื้อสุทธิ 3,651.90 ล้านบาท ขณะที่ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 31.74 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สื่อนอกเชื่อจดีพีไทย 3.5%

    ทั้งนี้ สำนักข่าวบีบีซี จากอังกฤษรายงานว่า เศรษฐกิจไทยได้ก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างคาดไม่ถึง หลังจากที่จีดีพีในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา หดตัวลง 0.3% ขณะที่ไตรมาสแรกของปีนี้หดตัวที่ 1.7% ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่สวนทางกับภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีที่แล้วที่ขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งมากกว่า 6%

    นายซันเจย์ มาเธอร์ นักหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจจาก ธนาคารอาร์บีเอส ให้ความเห็นว่า ภาวการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจน่าจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกในอนาคต เนื่องจากไทยกำลังเผชิญทั้งปัญหาการส่งออก และการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัวลงพร้อมๆ กัน อีกทั้งความเชื่อมั่นทางธุรกิจก็ลดลงตามไปอีกด้วย โดยเป้าจีดีพีของไทยในปีนี้น่าจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 3.5% นอกจากนี้ ผลจากการที่ภาวะหนี้ครัวเรือน และระดับราคาสินค้า
ภายในที่ปรับตัวสูงขึ้นก็ยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้การบริโภคภายในของไทยต้องชะลอตัวลงอีกด้วย

อินโดฯ-ไทยกอดคอร่วง

    ขณะเดียวกัน จากการสำรวจพบ วา ไม่ใช่เพียงตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงแรง แต่ตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่ม TIP ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ปรับตัวลงมาก โดยดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 4,174.98 จุด ลดลง 138.54 จุด, -3.21%   ขณะที่ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ปิดทำการจากฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมในกรุงมะนิลา ส่วนดัชนีนิกเกอิ ญี่ปุ่นปิดร่วงลง 361.75 จุด หรือ 2.63% แตะที่ 13,396.38 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ตลท.ยอมรับเงินไหลออก

    นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงแรงในช่วง 2 วันนี้เป็นการปรับตัวในทิศทางสอดคล้องตลาดหุ้นทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกที่เคยคาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ขณะนี้ยังชะลอตัว ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่นำเงินโยกย้ายเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยเห็นจากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นมาก

    ประกอบกับ ลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาประกาศเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า จะมีการชะลอมาตรการ QE ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกหลังจากนั้นมีความอ่อนไหวค่อนข้างมาก ซึ่งรวมไปถึงตลาดทองคำ ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ เมื่อมีข่าวดีเข้ามาก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันห ากมีข่าวร้ายเข้ามาก็จะปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน 

“ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาราว 2% ถือว่าดีกว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ลดลง 2.63% และตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 2.3% ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกไปจากตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 7 หมื่นล้านบาท แนวโน้มข้างหน้าอาจจะยังมีออกไปอีก เพราะขณะนี้ยังเน้นไปทางด้านขายมากกว่าซื้อ แต่เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะในอดีตที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเคยมีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไปกว่าแสนล้านบาท  และขณะนี้ต่างชาติยังมีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ถึง 3-4 ล้านล้านบาท จากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ที่อยู่ในระดับ 12.1 ล้านล้านบาท”

ผู้บริหาร ตลท.ยืนยันว่า จะยังคงเป้าหมายมาร์เกตแคปในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นไปที่ 21 ล้านล้านบาท และเชื่อว่าในอนาคตตลาดหุ้นไทยยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของประเทศถือว่าดีกว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ ซึ่งหากมีความชัดเจนมากขึ้นก็จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ และหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวก็จะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยด้วย และขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการพิเศษมาดูแลภาวะการซื้อขายหุ้น เพราะเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย

โบรกฯ ชี้ QE กดดัน แต่มีโอกาสรีบาวนด์

    นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนลบ จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากที่ค่าเงินได้อ่อนค่าลง ทำให้ช่วงนี้จึงมีเงินไหลออก นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลผลกระทบจากการลดขนาด QE ของสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนกันยายน ต่างมองว่ามีโอกาสที่ลดขนาด QE สูงมาก ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศยังเป็นเรื่องที่ยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป และต้องรอดูว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจะนำเข้าสู่สภาฯเพื่อพิจารณาได้เมื่อไร

    โดยแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (21 ส.ค.) คาดว่าดัชนีมีโอกาสที่จะดีดตัวขึ้น หลังจากที่ได้ปรับตัวลงเร็ว และแรงเพียง 2 วันลดลงไปร่วม 80 จุดแล้ว พร้อมให้แนวรับ 1,350 จุด แนวต้าน 1,380 จุด

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะอ่อนแอ จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจในประเทศ และมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้เกิดกระแสเงินไหลออกจากภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์การลงทุน พอร์ตลงทุนระยะ 6 เดือน แนะนำถือหุ้น 20% ส่วนพอร์ตระยะสั้นแนะนำเก็งกำไร จบในวันเดียว โดยประเมินแนวรับที่ 1,357 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น