“สตาร์ ซานิทารีแวร์” เดินหน้าขยายตลาดสุขภัณฑ์ออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน รองรับการเปิดตลาด AEC ในปี 2558 เผยอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าในเวียดนาม-พม่า-อินโดนีเซีย-ฟิลิปปินส์ เพิ่มฐานลูกค้าในโซนนี้ให้แน่นกว่าเดิมพร้อมคลอดผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง ขณะที่วางเป้ายอดขายปีนี้เกิน 200 ลบ. หรือ 40% จากปีก่อนที่ทำได้ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เพียง 146 ล้านบาท เหตุส่งทีมขายบุกภูธรแบบเต็มสูบ
ดร.สมชัย ว่องอรุณ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ ซานิทารีแวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STAR ผู้ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์แบรนด์ “สตาร์” เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าในเวียดนาม พม่า และอินโดนีเซีย เพื่อเตรียมขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ขณะที่ฟิลิปปินส์นั้น บริษัทฯ ได้เริ่มส่งสินค้าออกไปจำหน่ายแล้ว ทั้งนี้ ปัจจุบัน STAR มีลูกค้าต่างประเทศมากกว่า 10 ราย เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ตะวันออกกลาง ประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC รวมทั้งยังมีลูกค้ารายใหม่ในอเมริกา และสวีเดน ที่คาดว่าจะมีคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นเข้ามาอีกด้วย
“ตอนนี้ STAR ก็ขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เพื่อรองรับการเปิด AEC ตอนนี้กำลังดีลอยู่กับเวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย รวมทั้งจะขยายฐานลูกค้ากลุ่มโครงการในประเทศมากขึ้น ล่าสุด ก็มีโครงการใหญ่ เช่น ศุภาลัย, ธนาสิริ และโครงการ Movenpick Hotel & Spa ซึ่งเลือกใช้สุขภัณฑ์ของ STAR ด้วย”
โดยในปี 2556 ได้วางเป้าหมายยอดขายไว้ที่ระดับมากกว่า 200 ล้านบาท หรือขยายตัวประมาณ 40% จากปี 2555 ที่มียอดขายอยู่ที่ 146 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2/2556 บริษัทฯ มีรายได้รวม 44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 35 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิขยายตัวเกินกว่า 20% โดยสามารถพลิกมีกำไรสุทธิ 0.3 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 9.05 ล้านบาท เนื่องจากพนักงานทุกคนรุกทำงานอย่างหนัก โดยเฉพาะการลงพื้นที่เพื่อพบลูกค้าในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น จนกระทั่งผลักดันให้มียอดขายในประเทศขยับขึ้นเป็น 54% และส่งออกอยู่ที่ 46% จากสิ้นปี 2555 ที่มียอดขายในประเทศอยู่ที่ 45% และส่งออกอยู่ที่ 55% ประกอบกับที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดตัวสินค้าสุขภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ที่มีนวัตกรรมประหยัดน้ำและมีคุณภาพสูงทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้
“ปี 2556 นี้ เราคาดว่ายอดขายจะทำได้มากกว่า 200 ล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในประวัติศาสตร์คือ อยู่ที่ 146 ล้านบาท หตุที่ยอดขายในไตรมาส 2 ปีนี้ โตขึ้นอย่างโดดเด่น เพราะฐานลูกค้ามีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในประเทศที่ขยายตัวอย่างมาก เพราะที่ผ่านมา มีการเสริมทีมงานด้านการตลาด และทำงานเชิงรุกมากขึ้น สามารถผลักดันออเดอร์แต่ละเดือนให้เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน และส่งผลให้สัดส่วนลูกค้าในประเทศขยับขึ้นมาเป็น 54%” ดร.สมชัย กล่าวในที่สุด
