“ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่นฯ” แจงผลประกอบการไตรมาส 2 ประจำปี 2556 ยอดขายรูปเงินเหรียญสหรัฐยังเติบโต 9.7% ยอดขายรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 5% คาดปีนี้จะยังเติบโต 10%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปีนี้ว่า บริษัทมียอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐ 935 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 852 ล้านเหรียญสหรัฐ และมียอดขายในรูปเงินบาท 28,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2555 ที่มีรายได้ 26,764 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 นี้ 359 ล้านบาท ลดลงจากปี 2555 ที่ทำกำไรสุทธิ 1,001 ล้านบาท หรือลดลง 64% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.31 บาท ส่งผลให้ครึ่งแรกปี 56 บริษัทมียอดขายในรูปเงินเหรีญสหรัฐ 1,759 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 1,674 ล้านเหรียญสหรัฐ และมียอดขายในรูปเงินบาท 52,560 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อน ที่มียอดขาย 52,062 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิรวม 6 เดือนแรก 1,033 ล้านบาท
นายธีรพงศ์ อธิบายถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 นี้ว่า ปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องในไตรมาสนี้ ราคาวัตถุดิบปลาทูน่ายังมีความผันผวน จากราคาเฉลี่ยในไตรมาสแรก 2,198 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะราคาเฉลี่ยในช่วงไตรมาส 2 เท่ากับ 2,178 เหรียญสหรัฐต่อตัน ถึงแม้ว่าราคาเฉลี่ยในไตรมาส 2 จะลดลงเล็กน้อย แต่ช่วงระหว่างไตรมาสราคามีความผันผวนมาก และจากราคาที่ผันผวนนี้ยังทำให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อ เพราะยังไม่มั่นใจเรื่องราคา ส่วนปัจจัยจากวัตถุดิบกุ้งในไตรมาสนี้ยังคงสูงต่อเนื่องจากไตรมาสแรก อันเป็นผลจากโรคระบาด EMS (Early Mortality Syndrome) กุ้งมีราคาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายปี
โดยราคากุ้งในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 20% (ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัม) เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรก หรือเพิ่มขึ้นถึง 72% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2555 จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจการแปรรูปกุ้งเพื่อการส่งออก เนื่องจากการบริหารจัดการต้นทุนมีความท้าทายมากขึ้น จึงส่งผลต่อกำไรสุทธิในไตรมาส 2 อีกทั้งในไตรมาสนี้ มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน อันเกิดจากความผัวผวนอย่างมากของค่าเงินบาท ทั้งนี้ ในกรณีที่ค่าเงินมีทิศทางที่เสถียรภาพ ที่ผ่านมา บริษัทสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ไตรมาส 2 ยังมีค่าใช้จ่ายทางภาษีที่เพิ่มขึ้น และไม่มีเงินประกันจากเหตุเพลิงไหม้มาชดเชย จึงทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ ลดลงจากไตรมาส 1 และถึงแม้ว่าต้องเผชิญปัจจัยท้าทายต่างที่เกิดขึ้น
แต่บริษัทฯ สามารถทำอัตรากำไรขั้นต้น (Margin) เท่ากับ 12.4% ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบยอดขายไตรมาส 2 และไตรมาส 1 พบว่า ในรูปเงินเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% และในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งโดยภาพรวมบริษัทฯ ยังมีกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ดีขึ้น เนื่องจากการปรับราคาขายสินค้า และธุรกิจนำเข้า และจัดจำหน่ายกุ้งแช่แข็งในสหรัฐอเมริกาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก
สำหรับการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีแรกปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงมุ่งเน้นการพัฒนาในส่วนของธุรกิจหลักให้เข้มแข็ง และมีศักยภาพมากที่สุด เน้นความสามารถการทำกำไรอย่างใกล้ชิด โดยหันมาใช้ทรัพยากรด้านการผลิตต่างๆ ของบริษัทฯ ที่เข้าไปลงทุน มั่นใจว่าปีนี้จะยังเติบโตที่ 10% และคาดว่ายอดขายปีนี้จะใกล้เคียงที่ระดับ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นายธีรพงศ์กล่าว
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้จัดสรรกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานงวดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2556 เป็นเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.60 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 กันยายน 2556 นี้
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปีนี้ว่า บริษัทมียอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐ 935 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 852 ล้านเหรียญสหรัฐ และมียอดขายในรูปเงินบาท 28,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2555 ที่มีรายได้ 26,764 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 นี้ 359 ล้านบาท ลดลงจากปี 2555 ที่ทำกำไรสุทธิ 1,001 ล้านบาท หรือลดลง 64% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.31 บาท ส่งผลให้ครึ่งแรกปี 56 บริษัทมียอดขายในรูปเงินเหรีญสหรัฐ 1,759 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 1,674 ล้านเหรียญสหรัฐ และมียอดขายในรูปเงินบาท 52,560 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อน ที่มียอดขาย 52,062 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิรวม 6 เดือนแรก 1,033 ล้านบาท
นายธีรพงศ์ อธิบายถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 นี้ว่า ปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องในไตรมาสนี้ ราคาวัตถุดิบปลาทูน่ายังมีความผันผวน จากราคาเฉลี่ยในไตรมาสแรก 2,198 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะราคาเฉลี่ยในช่วงไตรมาส 2 เท่ากับ 2,178 เหรียญสหรัฐต่อตัน ถึงแม้ว่าราคาเฉลี่ยในไตรมาส 2 จะลดลงเล็กน้อย แต่ช่วงระหว่างไตรมาสราคามีความผันผวนมาก และจากราคาที่ผันผวนนี้ยังทำให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อ เพราะยังไม่มั่นใจเรื่องราคา ส่วนปัจจัยจากวัตถุดิบกุ้งในไตรมาสนี้ยังคงสูงต่อเนื่องจากไตรมาสแรก อันเป็นผลจากโรคระบาด EMS (Early Mortality Syndrome) กุ้งมีราคาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายปี
โดยราคากุ้งในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 20% (ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัม) เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรก หรือเพิ่มขึ้นถึง 72% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2555 จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจการแปรรูปกุ้งเพื่อการส่งออก เนื่องจากการบริหารจัดการต้นทุนมีความท้าทายมากขึ้น จึงส่งผลต่อกำไรสุทธิในไตรมาส 2 อีกทั้งในไตรมาสนี้ มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน อันเกิดจากความผัวผวนอย่างมากของค่าเงินบาท ทั้งนี้ ในกรณีที่ค่าเงินมีทิศทางที่เสถียรภาพ ที่ผ่านมา บริษัทสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ไตรมาส 2 ยังมีค่าใช้จ่ายทางภาษีที่เพิ่มขึ้น และไม่มีเงินประกันจากเหตุเพลิงไหม้มาชดเชย จึงทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ ลดลงจากไตรมาส 1 และถึงแม้ว่าต้องเผชิญปัจจัยท้าทายต่างที่เกิดขึ้น
แต่บริษัทฯ สามารถทำอัตรากำไรขั้นต้น (Margin) เท่ากับ 12.4% ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบยอดขายไตรมาส 2 และไตรมาส 1 พบว่า ในรูปเงินเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% และในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งโดยภาพรวมบริษัทฯ ยังมีกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ดีขึ้น เนื่องจากการปรับราคาขายสินค้า และธุรกิจนำเข้า และจัดจำหน่ายกุ้งแช่แข็งในสหรัฐอเมริกาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก
สำหรับการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีแรกปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงมุ่งเน้นการพัฒนาในส่วนของธุรกิจหลักให้เข้มแข็ง และมีศักยภาพมากที่สุด เน้นความสามารถการทำกำไรอย่างใกล้ชิด โดยหันมาใช้ทรัพยากรด้านการผลิตต่างๆ ของบริษัทฯ ที่เข้าไปลงทุน มั่นใจว่าปีนี้จะยังเติบโตที่ 10% และคาดว่ายอดขายปีนี้จะใกล้เคียงที่ระดับ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นายธีรพงศ์กล่าว
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้จัดสรรกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานงวดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2556 เป็นเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.60 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 กันยายน 2556 นี้