“เชาว์ สตีลฯ” มั่นใจ Q3/56 สร้างผลงานกลับมาเติบโตอีกครั้ง หลังปัญหาบาทแข็งช่วงต้นไตรมาสที่ 2/56 ทำยอดขายวูบ เหตุลูกค้าหันนำเข้าแทนการซื้อในประเทศ สะท้อนรายได้-กำไรในไตรมาสที่ 2 และงวด 6 เดือนลดลง มั่นใจครึ่งปีหลังสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ เหตุค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ดึงลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าใหม่อีกครั้ง
นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/2556 (กรกฎาคม-กันยายน 2556) ว่า มีแนวโน้มฟื้นตัวจากไตรมาสที่ 2 อย่างโดดเด่น หลังจากที่เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวในระดับต่ำกว่า 31 บาท/ดอลลาร์อีกครั้ง ส่งผลให้ลูกค้าหันมาสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) จากผู้ผลิตในประเทศอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่คำสั่งซื้อชะลอตัวลงในช่วงต้นไตรมาสที่ 2/2556 ซึ่งเป็นช่วงที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 28 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ลูกค้าบางส่วนหันไปนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาวแทนการซื้อจากผู้ผลิตในประเทศ
“ถือว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเป็นอย่างมากจนมาอยู่ที่ระดับ 28 บาท/ดอลลาร์ในช่วงต้นไตรมาสที่ 2/56 ทำให้ยอดขายลดลงอย่างชัดเจน เพราะลูกค้าหันมานำเข้า Billet แทนการซื้อในประเทศ แต่หลังจากที่ค่าเงินบาทเริ่มปรับตัวอ่อนค่าลงลงมาแตะที่ระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ ก็ทำให้ยอดขายเรากลับมาอีกครั้ง ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จึงมั่นใจว่า ในไตรมาสที่ 3/2556 บริษัทฯ จะกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง เพราะความต้องการใช้เหล็กยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ยังตั้งเป้าหมายปริมาณการขายไว้ที่ 250,000- 300,000 ตัน” นายอนาวิลกล่าว
โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของ CHOW (เมษายน-มิถุนายน 2556) ที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และส่งผลต่อเนื่องให้ผลประกอบการในงวด 6 เดือนลดลงไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นผลมาจากการแข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากของค่าเงินบาทในช่วงต้นไตรมาสที่ 2/2556 ทำให้ลูกค้าบางส่วนหันไปนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) แทนการซื้อจากผู้ผลิตในประเทศ และราคาขายปรับตัวลดลงร้อยละ 15 ทำให้ยอดขายของบริษัทฯ ลดลง โดยในไตรมาสที่ 2/2556 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย และการให้บริการรวม 961.63 บาท ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 1,285.04 ล้านบาท
ส่งผลให้ในงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย และการให้บริการรวม 1975.55 ลบ. ลดลง 29% จากปีก่อนที่ทำได้ 2,785.85 ล้านบาท ในขณะที่ทิศทางการปรับตัวของราคาเศษเหล็กกับราคาขายเหล็กแท่ง (Billet) เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน ทำให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 4.9% ซึ่งต่ำกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 6.0% ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิที่เป็นกำไรส่วนใหญ่ 19.32 ล้านบาท ลดลง 46.96 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 66.28 ล้านบาท