นายไพบูลย์ นลินทรางกูร เผยการเมืองไทยขาดเสถียรภาพทำให้นักลงทุนไม่อยากเสี่ยง เลี่ยงไปลงทุนที่อื่น ทำเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า แนะรัฐส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ส่งออกเพื่อดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ จี้รัฐสร้างความชัดเจนนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท ล่าช้าทำไทยเสียประโยชน์ระยะยาว
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน ความสนใจในอุตสาหกรรมยานยนต์มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ่นมาก จากมูลค่ารวมของสินค้าส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมด ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา ในปีที่แล้วประเทศไทยสามารถส่งออกรถยนต์มากกว่า 1 ล้านคัน ซึ่งถือว่ามียอดเม็ดเงินจากการส่งออกขึ้นมาเป็นอันดับ 1 มากกว่าสินค้าอุตสาหกรรมกลุ่มไอทีที่มีอยู่เดิม ขณะที่แนวโน้มในอนาคตครึ่งปีหลังคาดว่านักลงทุนจะให้ความสนใจในการลงทุนกลุ่มส่งออกมากขึ้น โดยกลุ่มที่โดดเด่น ได้แก่ กลุ่มสินค้ายานยนต์ ซึ่งเป็นรายได้ที่นำเงินเข้าประเทศจำนวนมาก ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในระยะนี้ที่ปรับตัวลดลง ก็ยังถือว่าไม่กระทบต่อภาคการส่งออกมากนัก
อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังอาจจะซบเซาลงบ้าง แต่เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง หากเทียบกับเศรษฐกิจของทางฝั่งยุโรป และอเมริกาจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาบ้างแล้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะชะลอมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หรือ QE ในเดือนหน้าออกไปก่อนโดยอาจจะทยอยต่อไปเรื่อยๆ และไปปรับดอกเบี้ยขึ้นในปี 2015
ขณะเดียวกัน ปัจจัยทางการเมืองถือว่าเป็นนัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งทำให้นักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จึงจะยังไม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะนี้ เพราะรัฐบาลยังไม่มีมาตรการรองรับอะไรที่ชัดเจน ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังมองเสถียรภาพทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท ว่าอาจจะชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนอย่างมากเพราะเป็นการลงทุนระยะยาว และต่อยอดเศรษฐกิจไทยที่จะเชื่อมโยงต่อไปยังภูมิภาคอาเซียน หรือ AEC ได้อีก
ทั้งนี้ ถ้าหากการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น คาดว่าตัวเลขการส่งออกในครึ่งปีหลังจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่วนที่ยังเป็นกังวลคือ ตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างเช่นประเทศจีน ว่าจะฟื้นตัวช้านั้น คาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่นานจะกลับสู่ภาวะปกติ แต่สิ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามคือ อัตราแลกเปลี่ยน เพราะมีความผันผวนสูง ซึ่งถ้าหากแกว่งตัวรุนแรงก็จะกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศไทยซึ่งทาง ธปท.จึงจำเป็นที่จะต้องวางนโยบาย หรือกำหนดมาตรการควบคุมไม่ให้กระทบต่อผู้ส่งออก
“ในส่วนของผลประกอบการของบริษัทหลักทรัพย์นั้น เทียบกันครึ่งปีแรกของปี 2555 กับครึ่งปีแรกของปี 2556 นั้น โบรกฯ สามารถทำกำไรได้เกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยยังคงตั้งเป้าวอลุ่มเทรดครึ่งปีหลังไว้ที่ 4.5-5 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพรวมเศรษฐกิจขณะนี้เชื่อว่ากำไรในครึ่งปีหลัง 2556 จะยังคงดีอยู่แม้ว่าจะไม่เท่ากับครึ่งปีแรกก็ตาม”