“นิวัฒน์ธำรง” บินถก สปป.ลาว ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้า 2 เท่าเป็น 8 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 58 พร้อมหาช่องทางดันนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนเพิ่ม
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จะเดินทางไปประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่ง สปป.ลาว ครั้งที่ 5 ในวันที่ 8-9 ส.ค. 2556 เพื่อหารือการขยายความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุน โดยตั้งเป้าที่จะผลักดันการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้น 2 เท่า หรือเพิ่มขึ้นจาก 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2554 เป็น 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2558
ทั้งนี้ ไทยมีแผนที่จะผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในสปป.ลาวเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ปัจจุบันไทยลงทุนอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากจีนและเวียดนาม โดยส่วนใหญ่ลงทุนในสาขาเหมืองแร่และพลังงาน เกษตรกรรมและป่าไม้ อุตสาหกรรมและหัตถกรรม รวมถึงการโรงแรมและท่องเที่ยว ซึ่งการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานยังมีโอกาสสำหรับนักลงทุนไทย โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อรองรับเส้นทาง R8 และ R12 ที่เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าจากไทยไป สปป.ลาวและเวียดนาม
นายนิวัฒน์ธำรงกล่าวว่า ในด้านการค้า จะผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า และเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้าในการเข้าสู่ตลาด เช่น การอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากร ณ จุดเดียว การแลกเปลี่ยนข้อมูลและกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุน รวมทั้งการเพิ่มความร่วมมือของภาคเอกชน โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือ สปป.ลาวในการพัฒนาสินค้า OTOP ที่ไทยมีประสบการณ์
สำหรับการจัดงานแสดงสินค้าที่ไทยมีการจัดงานใน สปป.ลาวเป็นประจำทุกปีนั้น จะผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปร่วมงานแสดงสินค้าให้มากขึ้น เพื่อแนะนำสินค้าไทย และผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาด สปป.ลาวให้ได้เพิ่มมากขึ้น เพราะปัจจุบันสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว
ในปี 2555 การค้าระหว่างไทย-สปป.ลาว มีมูลค่ารวม 4,826.73 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 23.82% โดยไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของ สปป.ลาว มีการส่งออกมูลค่า 3,588.44 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้า 1,238.29 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น น้ำมันสำเร็จรูป รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น สินแร่โลหะ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เชื้อเพลิงอื่นๆ ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ ผัก ผลไม้ และของปรุงแต่งจากผักและผลไม้ เป็นต้น