พิษน้ำมันรั่วทุบหุ้น “พีทีทีซีจี” ร่วงต่อเนื่อง 3 วันซ้อน สูญไปแล้ว 3.6 หมื่นล้าน พิษจากน้ำมันรั่วลงทะล คาดฉุด ปตท. โดนหางเลขขาดทุนหุ้นตาม 1.76 หมื่นล้าน แนะจับตาผลกระทบกำไร Q3 หากซ่อมท่อส่งไม่ทัน
รายงานข่าวแจ้งว่า มูลค่าหุ้นบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ปรับลดลงถึง 36,070 ล้านบาท นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วลงสู่ทะเล เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา จนทำให้ราคาหุ้นทรุดลงติดต่อกัน 3 วันต่อเนื่อง (29-31 ก.ค.) ถึงหุ้นละ 8 บาท เมื่อคำนวณจากทุนชำระแล้วของบริษัท จำนวน 4,508,849,117 บาท
ปัจจุบัน บริษัท พีทีทีฯ มีบริษัท ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด จำนวน 2,204,318,913 หุ้น ดังนั้น ราคาหุ้นพีทีทีที่รูดลง 8 บาทต่อหุ้น ทำให้ ปตท.ขาดทุนรวม 17,634 ล้านบาท
ทั้งนี้ ยังไม่รวมผลกระทบทางจิตวิทยาที่มีต่อหุ้นของบริษัท ปตท. และบริษัทในกลุ่ม โดยหุ้น ปตท. ปรับตัวลงแรงในวันที่ 30 ก.ค. ถึงหุ้นละ 8 บาท ก่อนเด้งขึ้น 3 บาท มาปิดที่ 331 บาท ในวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบต่อหุ้นบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) ที่ราคาหุ้นรูดลง 6.50 บาท
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน คาดว่า ผลกระทบที่ลุกลามแหล่งท่องเที่ยว กรณีเลวร้ายสุดจะฉุดกำไร PTTGC ไตรมาส 3 ปี 2556
บริษัทมีประกันภัยครอบคลุม PTTGC อยู่ระหว่างการประเมินความเสียหายจากเหตุน้ำมันรั่วที่เกิดขึ้น ทั้งส่วนท่อรับน้ำมันดิบชนิดยืดหยุ่นก่อนเข้าทุ่นรับน้ำมันดิบ และค่าใช้จ่ายในการกำจัดคราบน้ำมันในทะเลและแนวชายฝั่ง ทั้งนี้ PTTGC แจ้งให้ทราบว่า บริษัททำประกันภัยความเสียหายที่เกิดจาก
ประการแรก ทรัพย์สินเสียหายและธุรกิจหยุดชะงัก
ประการที่สอง ประกันภัยการขนส่งสินค้าทางทะเล
ประการที่สาม ประกันภัยความรับผิดชอบต่อบุคคลที่สาม
ทั้งนี้ บริษัทยังไม่เปิดเผยประมาณการความเสียหายที่เกิดขึ้น
นักวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน คาดว่าเหตุน้ำมันรั่วจะไม่กระทบกำลังการผลิตแม้ระบบขนส่งน้ำมันยังไม่กลับมาใช้งานตามปกติ เนื่องจาก PTTGC มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบกว่า 2 ล้านบาร์เรล รองรับการผลิตได้อย่างน้อย 15 วัน
อย่างไรก็ตาม หากระบบท่อขนส่งน้ำมันไม่สามารถกลับมาดำเนินงานได้ทัน จะส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2556 ทันที แม้บริษัทจะมีประกันภัยในส่วน Business Interruption เนื่องจากมี First Deductible ที่ประกันไม่ต้องรับผิดชอบ 60 วันแรกของการเกิดเหตุกรณีแย่ที่สุดจะกระทบกำไร ไตรมาส 3 ปี 2556
“เราเชื่อว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วจะเริ่มทยอยรับรู้ในไตรมาส 3 แม้จะมีการทำประกันภัยไว้ทุกรูปแบบก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติ PTTGC อาจจะใช้เวลาเรียกร้องค่าสินไหมโดยเฉพาะประกันภัยความรับผิดชอบต่อบุคคลที่สามวงเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,500 ล้านบาท)”
แม้ว่ายังมีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจปกติของ PTTGC ที่คาดว่าจะฟื้นตัวตามค่าการกลั่น และความเสี่ยงในการรับรู้ขาดทุนสต๊อกน้ำมันที่ลดลง หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หากบริษัทไม่สามารถรับรู้ค่าประกันภัยได้ทัน จะมีผลกระทบต่อประมาณการกำไรปี 2556 ที่คาดไว้ที่ 35,713 ล้านบาท
บล.ยูโอบี เคย์เฮียน คาดว่า PTTGC จะรายงานกําไรสุทธิรายไตรมาส 2 ต่ำที่สุด แต่คาดว่ากําไรสุทธิจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากส่วนต่างราคาสินค้าของธุรกิจโอเลฟินส์ที่อยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ ราคาหุ้น PTTGC มีความเสี่ยงน้อยลงจากผู้ถือหุ้นต่างชาติที่ยังอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ คาดว่า PTTGC จะรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2556 อยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท จากประการแรก ยอดการผลิตที่ลดลงจากการปิดปรับปรุงโรงกลั่น (อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ 63% ในไตรมาส 2/2556 เทียบกับ 101% ในไตรมาส 1/2556) โรงอะโรเมติกส์ (84% เทียบกับ 92%) และโรงโอเลฟินส์ (93% เทียบกับ 97%)
บล.ยูโอบี เคย์เฮียน คาดว่า กําไรสุทธิจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากส่วนต่างราคาสินค้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งของธุรกิจโอเลฟินส์ ขณะที่คาดว่าส่วนต่างราคาอะโรเมติกส์จะยังอยู่ในระดับสูง และคาดว่ายอดขายจะขยายตัวขึ้นจากไตรมาส 2 ในไตรมาส 3/2556 หลังการปิดปรับปรุงของโรงผลิตหลักเสร็จสิ้นลง
“เรายังมีมุมมองบวกต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปี 2556 และคาดจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น”
ดังนั้น คงคําแนะนํา ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายที่ 95 บาท อิงด้วยสัดส่วนราคาต่อกำไรปี 2556 ที่ 12 เท่า
“เราคิดว่ากําไรสุทธิของ PTTGC จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยแรงหนุนจากโครงการผนึกกำลังเชิงกลยุทธ์ ประกอบกับพอร์ตที่หลากหลาย และต้นทุนวัตถุดิบที่ถูก”
นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี คาดคาดการณ์กําไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2556 ของ PTTGC จะหดตัว 66%จากไตรมาสแรก และเป็นจุดต่ำสุดของปี เนื่องจากแรงกดดันของธุรกิจโรงกลั่นที่มีระดับการกลั่นลดลงจากแผนการปิดซ่อมบํารุง และค่าการกลั่นที่อ่อนตัวตามฤดูกาล
อย่างไรก็ดี ยังคงประมาณการกําไรสุทธิปี 2556 ขยายตัว 10% จากปี 2555 โดยคาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี-วัตถุดิบที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งในช่วงที่เหลือของปี กอปรกับระดับการผลิตที่ทยอยเพิ่มขึ้นหลังจากปิดซ่อมบํารุงตามแผนงานที่ผ่านมา และการฟื้นตัวของธุรกิจโรงกลั่น จะช่วยหนุนให้ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2556-ไตรมาส 4 ปี 2556 กลับมาขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ดังนั้น ยังคงเล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของ PTTGC จากกลยุทธ์ขยายกําลังการผลิต การรุกสู่ต่างประเทศ และการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น คงคําแนะนํา ซื้อ
ทั้งนี้ คงประมาณการกําไรสุทธิปี 2556 เท่ากับ 3,740 ล้านบาท (+10% จากปี 2555) โดยคาดว่า กําไรสุทธิในช่วงที่เหลือปีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาปิโตรเคมี-วัตถุดิบที่แข็งแกร่ง (สัดส่วน EBITDA ของธุรกิจปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ และโอเลฟินส์คิดเป็น 73% ของทั้งหมด)
โดยนอกเหนือจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตขั้นปลายน้ำในช่วงไฮซีซันแล้ว ผลิตภัณฑ์พาราไซลีนยังได้ผลบวกจากการเพิ่มขึ้นของโรงงาน PTA ขณะที่ไม่มีกําลังการผลิตพาราไซลีนใหม่เพิ่มขึ้นในตลาด เช่นเดียวกับเบนซีนที่ได้แรงหนุนจากการขยายตัวของการผลิต Styrene Monomer (SM) อย่างมากในประเทศจีน นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกยังมีความต้องการใช้อย่างต่อเนื่องจากประเทศจีน รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่เริ่มเห็นการฟื้นตัว อาจหนุนให้มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จากทั่วโลกทยอยเพิ่มมากขึ้น