xs
xsm
sm
md
lg

เผยนักลงทุนแห่ซื้อ รร.ในเอเชียครึ่งปี 3.9 หมื่นล้าน คาดทั้งปีทะลุแสนล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ไมค์ แบทเชเลอร์
โจนส์ แลง ลาซาลล์ฯ เผยครึ่งปีแรก 56 นักลงทุนกว้านซื้อโรงแรมในเอเชียทะลุ 3.9 หมื่นล้าน คาดทั้งปีอาจทะลุ 1 แสนล้าน ระบุสิงคโปร์ ฮ่องกง โตเกียว ตลาดใหญ่ ขณะที่ตลาดใหม่ ไทย มัลดีฟส์ กำลังมาแรง เผย REITs ผู้ซื้อหลัก

นายไมค์ แบทเชเลอร์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายงานขาย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมของ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ จำกัด เปิดเผยว่า ตามรายงานจากหน่วยธุรกิจบริการด้านการลงทุน พบว่า ตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรม และรีสอร์ตในเอเชียคึกคัก โดยครึ่งแรกปี 2556 มีมูลค่าการซื้อขายรวม 1.3 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งแรกปี 2555 ถึง 85% และนับเป็นครึ่งปีแรกที่มีมูลค่าการลงทุนซื้อขายสูงสุด นับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา โดยการลงทุนซื้อขายส่วนใหญ่เกิดขึ้นในตลาดโรงแรมของสิงคโปร์ ฮ่องกง และโตเกียว รวมถึงตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ดังเช่น ไทย และมัลดิฟส์

“ขณะนี้มีโรงแรม และรีสอร์ตในเอเชียที่กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาซื้อขาย และคาดว่าจะเสร็จสิ้นเร็วๆ นี้ รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท) ยังไม่รวมโรงแรม และรีสอร์ตที่อยู่ระหว่างเตรียมขายอีก รวมมูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท)” นายแบทเชเลอร์ กล่าว

ทั้งนี้ หากแยกพิจารณาเป็นรายประเทศ จะพบว่า ญี่ปุ่น เป็นตลาดการซื้อขายโรงแรมที่มีมูลค่าสูงสุดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยคิดเป็นสัดส่วน 37% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นในเอเชีย เนื่องจากนักลงทุนมองว่า ปัจจัยพื้นฐานของตลาดโรงแรมญี่ปุ่นได้ฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวในปี 2554 รองลงมาไม่ห่างกันมากคือ ตลาดโรงแรมของสิงคโปร์ คิดเป็นสัดส่วน 34% ของมูลค่าการลงทุนซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเอเชีย สาเหตุหลักมาจากการมีรายการซื้อขายมูลค่าสูงเกิดขึ้น คือ โรงแรมพาร์ค โฮเทล คลาร์ค คีย์ ซึ่งซื้อขายไปในราคาสูงถึง 238 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.14 พันล้านบาท

ส่วนประเทศไทย ซึ่งแม้จะเป็นตลาดการลงทุนที่คาดเดาทิศทางได้ค่อนข้างยากกว่า แต่ยังคงเป็นตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมที่ได้รับความสนใจมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยในช่วงต้นปีมีรายการซื้อขายโรงแรมรายการใหญ่เกิดขึ้น คือ โรงแรมลากูน่า บีช รีสอร์ท ที่ภูเก็ต

นายแบทเชเลอร์ กล่าวต่อว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เราพบว่ามุมมองของนักลงทุนที่มีต่อตลาดการลงทุนในโรงแรม และรีสอร์ตของเอเชียปรับตัวดีขึ้น ซึ่งนำไปสู่การลงทุนซื้อเพิ่มมากขึ้นในภูมิภาค นอกจากนี้ ราคาที่ผู้ขายเสนอกับราคาที่นักลงทุนรับได้ จากที่เคยมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากในปี 2555 เริ่มมีช่องว่างลดลงในปีนี้ ซึ่งทำให้การเจรจาซื้อขายรายการใหญ่ๆ ประสบความสำเร็จในช่วงครึ่งแรกของปีนี้

นอกจากนี้ รายงานจากโจนส์ แลง ลาซาลล์ ยังระบุด้วยว่า ผู้ขายหลักในปีนี้ ประกอบด้วย กองทุน สถาบัน และบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการปรับโครงสร้างสินทรัพย์ ในขณะที่ผู้ซื้อหลักประกอบด้วยกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ผู้ประกอบการโรงแรม และนักลงทุนประเภทสถาบัน อย่างไรก็ดี แม้การลงทุนซื้อขายโรงแรมของเอเชียจะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และมีนักลงทุนสนใจสูง แต่พบว่าโรงแรมที่มีเสนอขายในตลาดเปิดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนไม่มาก ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำกัดปริมาณการซื้อขายโรงแรมในภูมิภาคนี้

ทั้งนี้ โรงแรมที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการลงทุนในเมืองที่เป็นตลาดการลงทุนหลักๆ ของเอเชียมีเสนอขายในจำนวนจำกัด ในขณะเดียวกัน ผู้ขายมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะไม่ประสงค์เสนอขายโรงแรมอย่างเปิดเผย ทำให้นักลงทุนมากหันไปหาโอกาสการลงทุนในตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะมัลดิฟส์ ซึ่งพบว่า มีปริมาณการลงทุนซื้อขายโรงแรมเพิ่มมากขึ้น รวมถึงโรงแรมอังสนาเวลาวารู (Angsana Velavaru) ที่มีการซื้อขายไปในราคา 71 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.13 พันล้านบาท) คาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

“มีทุนต่างๆ หลั่งไหลเข้าไปใน REITs (กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) อย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่า REITs จะยังคงเป็นผู้ซื้อที่มีบทบาทสำคัญในตลาดการลงทุนซื้อโรงแรม และรีสอร์ตในเอเชียต่อไป ในขณะที่ทุนเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนส่วนบุคคล ผู้ประกอบการโรงแรม และนักลงทุนสถาบันเอกชน ให้ความสนใจสูงสำหรับการลงทุนในตลาดโรงแรมของเอเชียด้วยเช่นกัน จึงมีความเป็นไปได้ว่า ตลอดทั้งปีนี้การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียอาจมีมูลค่ารวมสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.05 แสนล้านบาท)” นายแบทเชเลอร์กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น