คอลลิเออร์สฯ ระบุ 5 ด่านชายแดนแม่สอด เชียงของ มุกดาหาร สระแก้ว สะเดา อสังหาฯ คึกคัก หลังรัฐมีแผนตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษประเดิมแม่สอด หวังดึงต่างชาติกลับลงทุนไทยหลังหนีค่าแรง 300 บาทซบประเทศเพื่อนบ้าน ชี้เปิด AEC ไทยรับอานิสงส์กลายเป็นศูนย์กลางอาเซียนตอนบน ล่าสุด เปิดสาขาพม่า รองรับนักลงทุนต่างชาติ
นายสุรเชษฐ กองชีพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี พ.ศ.2558 คือจุดเปลี่ยนใหม่ของประเทศไทย สำหรับกรุงเทพมหานคร มีความเป็นไปได้ในการขยายตัวสูงหลังจากเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เนื่องจากตำแหน่งของกรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน และจะมีความสำคัญมากขึ้นหลังเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี พ.ศ.2558
โดยไทยจะเป็นศูนย์กลางในด้านการขนส่ง และการเดินทางของอาเซียนตอนบน ศูนย์กลางธุรกิจรักษาพยาบาล โดยโรงพยาบาลของไทยหลายแหล่งผ่านมาตรฐาน JCI ซึ่งจะทำให้ต่างชาติเดินทางมารักษาที่ไทยเพราะมีมาตรฐานระดับสากล ราคาถูก บริการดี ศูนย์กลางธุรกิจและการลงทุน ศูนย์กลางการเงินและการธนาคาร แม้ว่าจะไปลงทุนในประเทศใสนกลุ่ม CLAM ก็จะใช้ไทยในการโอน-จ่ายเงิน เนื่องจากระบบธนาคารของประเทศเพื่อนบ้านยังไม่ดีพอ ศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว และศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
5 ทำเลฮอตรับเขต ศก.พิเศษ
ส่วนจังหวัดอื่นๆ ในประเทศไทย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการขยายตัวมากขึ้นหลังจากปี พ.ศ.2558 โดยเฉพาะจังหวัดตามแนวชายแดน รวมทั้งจังหวัดตามแนวเส้นทางคมนาคมสายหลักหรือตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบัน สามารถสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของนักลงทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติในแม่สอด เชียงของ สะเดา ระนอง มุกดาหาร อุดรธานี และขอนแก่น ซึ่งนักลงทุนจำนวนมากเริ่มลงทุน และทำธุรกิจไปแล้ว ทั้งซื้อที่ดิน ก่อสร้างอาคารโรงงาน อาคารพาณิชย์ ในขณะที่ยังมีบางส่วนที่ขอรอดูความชัดเจนของนโยบายของรัฐบาลไทยในบางพื้นที่
นอกจากนี้ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นของบางจังหวัด และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีแผนจะพัฒนาพื้นที่ตามแนวชายแดนใน 5 เขตติดต่อชายแดน ได้แก่ แม่สอด เชียงของ มุกดาหาร สระแก้ว และสะเดา ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เขตอุตสาหกรรม เพื่อรองรับนักลงทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ
การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท ทำให้นักลงทุนที่ใช้แรงงานย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้รัฐบาลจำต้องจัดตั้ง 5 เขตให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้สิทธิพิเศษด้านภาษีเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้กลับเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย โดยเริ่มจากแม่สอดเป็นแห่งแรก กินพื้นที่ 5,600 ไร่ ส่วนอีก 4 เขต คาดว่าจะประกาศได้ภายใน 2 ปีนี้ เพื่อให้ทันกับการเปิด AEC
ทั้งนี้ การที่มีภาคอุตสาหกรรมเข้ามาในพื้นที่ จะเป็นตัวหลักที่จะเพิ่มความต้องการด้านอื่นๆ เช่น ความต้องการในเรื่องของสำนักงาน ที่อยู่อาศัย และพาณิชยกรรม อีกทั้งโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของรัฐบาล เช่น รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์สายใหม่จากกาญจนบุรี ถึง กรุงเทพมหานคร สะพานมิตรภาพไทย-ลาว และสะพานมิตรภาพไทย-พม่า ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งความน่าสนใจ และการขยายตัวในบางจังหวัด
เปิดสาขาพม่ารองรับนักลงทุนต่างชาติ
นายไทรมั่น ลัญฉน์ดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คอลลิเออร์สฯ กล่าวว่า จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC จะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางของอาเซียนตอนบน หรือ CLAM อันประกอบด้วย กัมพูชา ลาว และพม่า เนื่องจากไทยมีระบบสาธารณูปโภคที่เพียบพร้อม สามารถรองรับความต้องการของชาวต่างชาติที่จะเข้ามาสู่ภูมิภาคเพื่อรองรับกลุ่มนักลงทุนจากต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในอาเซียน คอลลิเออร์สฯ จะได้เปิดสาขาในพม่าขึ้น เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างมาก นักลงทุนให้ความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนเนื่องจากเป็นประเทศเปิดใหม่ ซึ่งที่ผ่านมา มีนักลงทุนให้คอลลิเออร์สฯ เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนในพม่ากว่า 10 ราย ในจำนวนดังกล่าวเป็นนักลงทุนไทย 2-3 ราย
ปัจจุบัน ประเทศพม่ามีประชากรประมาณ 60 ล้านคน ซึ่งกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่กำลังเติบโต นอกจากนี้ ยังเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุสำคัญ ทั้งน้ำมัน และก๊าซสำรอง และภูมิศาสตร์ของพม่านั้นอยู่ในจุดยุทธศาสตร์การเชื่อมต่อระหว่างประเทศจีน อินเดีย และไทย ซึ่งยังมีโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุน แต่ก็ยังมีอุปสรรคต่อนักธุรกิจที่ควรเตรียมพร้อม เช่น เรื่องค่าเช่าสำนักงานที่มีราคาสูงถึงประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตารางเมตรต่อเดือน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค่าใช้จ่ายค่าเช่าพื้นที่สำนักงานในย่างกุ้งนั้น ถือว่าเทียบเท่าฮ่องกง และสิงคโปร์ ด้านที่พักอาศัย อพาร์ตเมนต์ที่มีคุณภาพหาได้ยาก ส่วนอัตราค่าโรงแรมนั้น มีการปรับขึ้นลงตามแต่ฤดูกาลกาลท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดี สำหรับผู้ที่สนใจเข้าลงทุน และพัฒนาด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการบริการ
ที่ผ่านมา คอลลิเออร์สฯ ประเทศไทยนั้นมีรายได้จาก 4 ธุรกิจหลัก แบ่งเป็นด้านการบริการที่ปรึกษา 20%, ด้านตัวแทนโครงการที่อยู่อาศัย 28%, ด้านตัวแทนเชิงพาณิชย์และการลงทุน 27% และด้านการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (25%)
ล่าสุด คลอลิเอออร์ฯ ได้เป็นที่ปรึกษาให้แก่โครงการ เดอะพอร์ทเทรต พระราม 4 ของบริษัทกรุงไทย แลนด์ ดีวีลลอปเม้นท์ จำกัด โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้านี้ ในส่วนการบริหารจัดการอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และพื้นที่ค้าปลีก ล่าสุด ได้สัญญาว่าจ้างระยะ 3 ปี จากบริษัท ทุนดำรง จำกัด ให้ดูแลและบริหารจัดการอาคาร เลอ คองคอด พื้นที่ 26,200 ตร.ม. จำนวน 25 ชั้น และโครงการดี 25 คอนโดมิเนียม บนถนนสุขุมวิท
ด้านบริการตัวแทนการตลาดครบวงจร ในปีนี้บริษัทฯ ได้รับแต่งตั้งให้ดำเนินการมากกว่า 10 โครงการ เช่น โครงการเดอะ พอร์ทเทรต พระราม 4 อีกทั้งโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่าง บ้านทิวทะเล ชะอำ-หัวหิน ของกลุ่มชาญอิสระ และสหพัฒน์ ในเขตพื้นที่การดูแลของสำนักงานหัวหิน และโอไรออน ในเขตพื้นที่การดูแลของสำนักงานพัทยา
นอกจากนี้ คอลลิเออร์ส ประเทศไทย ยังเชื่อมโยงกับเครือข่ายของคอลลิเออร์สทั้ง 482 สำนักงาน ใน 62 ประเทศ เพื่อสนับสนุนนักลงทุนชาวไทย ในการเปิดโอกาสให้ลงทุนซื้อด้านอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ ทั้งในสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ด้านตัวแทนเชิงพาณิชย์และการลงทุน ยังคงให้ความสำคัญกับการเป็นตัวแทนผู้เช่าจากการค้นหา เช่น พื้นที่ค้าปลีก และพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาการลงทุนในธุรกิจ และในปีนี้กับการปิดดีลใหญ่ 3 ดีลในภูเก็ต กับภาคธุรกิจการโรงแรม