เอเจนซี่ฯ เผยผลสำรวจการเปิดขายโครงการใหม่ครึ่งแรกปี 56 พบ พฤกษาฯ แชมป์เปิดตัวโครงการใหม่สูงสุด 9 โครงการ กว่า 2,859 หน่วย มูลค่ารวม 6,195 ล้านบาท ด้าน แอล.พี.เอ็น.ฯ แชมป์เปิดขายหน่วยที่อยู่อาศัย และมูลค่าสูงสุด โดยมีหน่วยเปิดขาย 8,418 หน่วย และมูลค่าสูงสุด 10,132 ล้านบาท ส่วนแชมป์เปิดขายโคครงการใหม่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็น “กานดา เดคคอร์” เปิดตัว 4 โครงการ จำนวน 1,661 หน่วย รวมมูลค่า 3,201 ล้านบาท
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือ AREA กล่าวว่า จากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ ณ ครึ่งแรกของปี 56 พบว่า บริษัทที่มีจำนวนการเปิดตัวโครงการมากที่สุดคือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS และบริษัทที่มีมูลค่าการเปิดโครงการสูงสุด คือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ส่วนบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุดคือ บริษัท กานดา เดคคอร์ จำกัด
โดย พฤกษาฯ มีการเปิดตัวมากที่สุดถึง 9 โครงการ รวม 2,859 หน่วย และมีมูลค่ารวมของหน่วยขายเปิดใหม่ ในครึ่งแรกของปีนี้ 6,195 ล้านบาท โดยนับเฉพาะโครงการที่เปิดตัวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลเท่านั้น ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทพฤกษาฯ ครองส่วนแบ่งในตลาดมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากจำนวนหน่วย และมูลค่าของโครงการแล้ว บริษัท แอล.พี.เอ็น.ฯ นับว่าเป็นบริษัทที่มีหน่วยพัฒนาจำนวนมากที่สุดถึง 8,418 หน่วย หรือ 14% ของจำนวนหน่วยทั้งหมดที่เปิดตัวในครึ่งแรกของปี โดยมีมูลค่ารวม 10,132 ล้านบาท หรือ 6% ของมูลค่าโครงการเปิดใหม่ทั้งหมดในตลาดในครึ่งปีแรก การที่ แอล.พี.เอ็น.ฯ มีจำนวนหน่วยการเปิดขายมากที่สุดเพราะความนิยมที่เพิ่มขึ้นของห้องชุดพักอาศัย และแอล.พี.เอ็น.ฯ ก็พัฒนาห้องชุดเป็นหลักอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่พฤกษาฯ เป็นแชมป์ นั้น พฤกษาฯ ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึงประมาณ 20-25% ของจำนวนหน่วยเปิดขาย และขนาดมูลค่าการพัฒนาโครงการ
สำหรับบริษัทนอกตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดก็คือ บริษัท กานดาเดคคอร์ จำกัด ซึ่งเปิดโครงการใหม่ในครึ่งแรกของปี 56 อยู่ 4 โครงการ จำนวน 1,661 หน่วย รวมมูลค่าถึง 3,201 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนประมาณ 2.7% ของจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่ทั้งหมดในตลาด
“ใน 10 บริษัทแรกของบริษัทพัฒนาที่ดินที่เปิดตัวด้วยจำนวนหน่วยขายมากที่สุดนั้น มีหน่วยขายรวมกันถึง 28,190 หน่วย หรือมีสัดส่วนถึง 45% ของจำนวนหน่วยเปิดขายทั้งหมดในครึ่งแรกของปี 56 และสำหรับ 10 บริษัทแรกของบริษัทพัฒนาที่มีมูลค่าการเปิดตัวสูงสุดนั้น มีมูลค่ารวมกันถึง 71,525 ล้านบาท หรือประมาณ 41% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด”
ดร.โสภณ กล่าวว่า อาจกล่าวได้ว่า บริษัทมหาชน และบริษัทในเครือรวม 60 บริษัท ครอบครองส่วนแบ่งตลาดถึง 2 ใน 3 ของมูลค่าการพัฒนาที่เปิดขายใหม่ในครึ่งแรกของปีนี้ โดยเป็นในส่วนของบริษัทมหาชนประมาณ 40 บริษัทถึง 53% และเป็นของบริษัทในเครือของบริษัทมหาชนรวมประมาณ 20 บริษัทอีก 10% นอกนั้นอีก 36% เป็นส่วนของการพัฒนา โดยบริษัทรายใหญ่ และรายเล็กนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับในส่วนของจำนวนหน่วยที่เปิดใหม่ บริษัทมหาชนครองส่วนแบ่งในตลาด 46% บริษัทในเครือของบริษัทมหาชนมีส่วนแบ่งอีก 14% นอกนั้นอีก 40% แบ่งๆ กันไปโดยบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้ แม้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีส่วนแบ่งในตลาดเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีบริษัทใดที่ครอบงำตลาดเพียงบริษัทเดียว หรือ 2-3 บริษัท เพราะมีการแข่งขันที่ดีในกลุ่มบริษัทใหญ่ๆ ด้วยกัน และตามหลักการแล้ว ไม่มีใครสามารถครองส่วนแบ่งในตลาดได้มากถึงครึ่งหนึ่ง เพราะสินค้าอสังหาฯ ยึดติดกับทำเล ไม่มีใครสามารถให้บริการได้ทุกทำเล ทั้งนี้ ต่างกับอสังหาฯ ที่ยกไปขายได้ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของบริษัทขนาดกลาง และขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises หรือ SMEs) ด้วยการบังคับให้ทุกบริษัททำสัญญาคุ้มครองเงินดาวน์ของผู้บริโภค ในปัจจุบัน เป็นการทำกันตามความสมัครใจ บริษัทมหาชนใหญ่ๆ ก็ไม่ยอมทำเพราะไม่ต้องการเพิ่มต้นทุน บริษัทเล็กๆ ทำก็จะเสียเปรียบรายใหญ่เพราะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น หากบังคับให้ทุกบริษัททำประกันโดยทั้งบริษัท และผู้ซื้อต้องร่วมกันรับผิดชอบการคุ้มครองนี้ ก็จะทำให้แบรนด์ของบริษัทเล็กๆ มีความทัดเทียมกัน เพราะในขณะนี้บริษัทใหญ่ๆ ใช้แต่ชื่อเสียงเป็นหลักประกันความอุ่นใจแก่ลูกค้า แต่จากประสบการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา ไม่ว่าบริษัทรายใหญ่ และรายเล็กต่างไม่สามารถคุ้มครองประโยชน์ลูกค้าได้เช่นกัน
ดังนั้น รัฐบาลจึงควรแก้ไขกฎหมาย หรือขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการทุกรายให้ทำสัญญาคุ้มครองเงินดาวน์ของคู่สัญญา เพื่อว่าผู้ซื้อจะได้ไม่ได้แต่กระดาษสัญญาซื้อขาย หรือเสาบ้าน ในยามที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเช่นเมื่อครั้งปี 40