xs
xsm
sm
md
lg

SEAFCO เน้นมาร์จิ้นดันกำไรพุ่ง โบรกฯ มองศักยภาพสูงยังน่าลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“SEAFCO” ระบุงานเสาเข็มรถไฟฟ้า 3 สายเดินหน้าต่อเนื่อง คงเป้าปี 56 กำไรเติบโต 20% จากมาร์จิ้นพุ่ง เหตุมุ่งรับงานเฉพาะค่าแรงมากขึ้นร่วม 80% อีกทั้งกำลังเดินหน้างานภาครัฐหลายโครงการ จากยอด backlog ในมือ 1.3 พันล้านบาท พร้อมขยายงานสู่พม่าเพิ่มเติม โบรกฯ มองความสามารถทำกำไรพุ่งยังน่าลงทุน แม้ได้รับผลกระทบทางอ้อมหาก พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านเลื่อน

นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO กล่าวว่า บริษัทคงเป้ากำไรสุทธิเติบโตปีนี้ไว้ที่ 10-20% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 138.23 ล้านบาท เพราะมีงานที่มีมาร์จิ้นสูงเข้ามามากโดยเป็นงานในรูปแบบคิดเฉพาะค่าแรงในสัดส่วน 80% และงานคิดค่าแรงรวมกับค่าวัสดุ 20% ซึ่งงานส่วนใหญ่นั้นจะเป็นงานจากภาครัฐกว่า 81% ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง รถไฟฟ้าสายสีเขียว รถไฟฟ้าสายสีเหลือง และส่วนต่อขยายทางด่วนศรีรัช ส่วนที่เหลือเป็นงานจากภาคเอกชน

“ตอนนี้การก่อสร้างเสาเข็มรถไฟฟ้าคืบหน้าไปบางส่วนแล้วในขณะนี้ สายน้ำเงินคาดว่าจะเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ขณะที่สีเขียว กำลังเร่งดำเนินการก่อสร้างอยู่ ทำให้เราคาดว่ารายได้ของบริษัทในไตรมาส 2 ของปีนี้จะออกมาใกล้เคียงกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว โดยเป้ารายได้ในไตรมาส 2 ตอนนี้ยังไม่ได้สรุป เพราะกำลังอยู่ในช่วงรวบรวมยอดทางบัญชี คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในกลางเดือนกรกฎาคมนี้”

ปัจจุบัน บริษัท ซีฟโก้ มีมูลค่างานในมือประมาณ 1,300 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจะได้รับงานเสาเข็มในประเทศพม่าอีก 100 ล้านบาท และได้จดทะเบี้ยนตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศพม่า ซึ่งคาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ โดยโครงการแรกนั้นจะเป็นในส่วนของงานตอกเสาเข็ม และก่อสร้างบันวอร์ในประเทศพม่า ซึ่งได้มีงานเปิดตัวโครงการไปแล้วเมื่อต้นเดือนมิถุนายน และกำลังอยู่ในช่วงที่กำลังเริ่มจะเซ็นสัญญา คาดว่าจะสามารถสรุปแบบและรับรู้รายได้ภายในปีนี้

นอกจากนี้ ยังมีงานของภาคเอกชนที่บริษัทฯ ได้เข้าร่วมประมูลทั้งงานก่อสร้างโรงแรม ห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียม และศูนย์แสดงสินค้านานาชาติในเมืองทองธานี มูลค่าราว 200-300 ล้านบาท อีกทั้งยังมีงานอื่นที่บริษัทได้รับเพิ่มเข้ามาใหม่อีก 5 โครงการ มูลค่าโครงการไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มประมาณ 114 ล้านบาท ได้แก่ โครงการอาคาร อิซซี่คอนโดมิเนียม ถนนสุขสวัสดิ์ โครงการก่อสร้างอาคารเดอะเบส จังหวัดขอนแก่น โครงการก่อสร้างทางเชื่อมต่อทางด่วนศรีรัชและถนนจตุรทิศ เขตห้วยขวาง เสาเข็มเจาะเหลี่ยม (Barrette) โครงการสถานีสูบน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต จังหวัดสมุทรปราการ และโครงการอาคาร GALERIE RUE DE 39 ถนนสุขุมวิท ลักษณะงานที่รับจ้างทำกำแพงกันดินระบบ Diaphragm Wall

สำหรับความผันผวนของค่าเงินบาทที่อาจจะกระทบต่อค่าวัสดุก่อสร้างนั้น กรามการผู้จัดการใหญ่ SEAFCO กล่าวว่า บริษัทจะใช้เหล็กเส้น ปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้สั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาจึงไม่มีปัญหาในเรื่องราคาแลกเปลี่ยนที่จะส่งผลกระทบต่อบริษัท

นักวิเคราะห์ กล่าวว่า SEAFCO เมื่อพิจารณาการดำเนินงานของธุรกิจโดยรวมจะพบว่า มีความรัดกุม และใช้ความรอบคอบมากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐด้วย จึงไม่ใช่เป็นการเติบโตจากการเก็งกำไรเหมือนในอดีต นอกจากนี้ SEAFCO ยังสามารถทำกำไรได้ดีขึ้น ไตรมาสแรก 2556 นี้ สามารถทำกำไรได้แล้ว 45.24 ล้านบาท กำไรเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมากถึง 182.04% จึงคาดว่าตลอดปีคงจะทำกำไรได้ถึง 170 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 0.63 บาท เพียงใช้ค่าพีอีที่ 10 เท่ามาประเมินราคาหุ้น (พีอีกลุ่มอสังหาฯ = 16.7 เท่า) ยังได้ราคาที่ 6.30 บาท แต่ราคาในตลาดอยู่ที่ 5.20 บาท จึงมี Up Side ได้อีก 21.15% โดยหากมีการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 30% ของกำไร ก็จะได้ผลตอบแทนอีก 3.5% ทำให้ยังคุ้มค่าในการลงทุน

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ประเมินแนวโน้มหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ว่า คงมุมมองเชิงบวกต่อ NWR, SEAFCO และ SYNTEC จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ปรับลดราคาเป้าหมายของ NWR ลงเป็น 2.73 บาท ด้วยการปรับลด Forward P/E ปี 56 เป็น 15 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐาน 19% และลดราคาเป้าหมายของ SEAFCO ลงเป็น 6.19 บาท ด้วยการปรับลด Forward P/E ปี 56 เป็น 10 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐาน 23% ส่วนราคาเป้าหมายของ SYNTEC ลดลงเป็น 1.19 บาท ด้วยการปรับลด Forward P/E ปี 56 เป็น 10 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐาน 18%

ทั้งนี้ NWR และ SEAFCO มีความเสี่ยงจากเรื่องความไม่แน่นอนของ พ.ร.บ.เงินกู้ฯ มากกว่า SYNTEC เพราะเน้นโครงการก่อสร้างเกี่ยวกับภาครัฐมากกว่า แต่ SYNTEC เน้นงานก่อสร้างอาคาร จึงได้รับผลกระทบทางอ้อม อย่างไรก็ตาม SYNTEC ได้รับผลกระทบทางลบจากเรื่องเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอลง ล่าสุด GDP ไทยถูกปรับลดเป็น 4.5% จากเดิม 5% ทำให้กำลังซื้ออสังหาฯ และการพาณิชย์ลดลงไปด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น