xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯ ห่วงเศรษฐกิจจีนถดถอยเตือนส่งออกเสี่ยงโดนหลอกฮุบสินค้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บิ๊กกสิกรฯ เตือนผู้ส่งออกไปจีนมีความเสี่ยงเพิ่ม หลังเศรษฐกิจจีนชะลอตัว โดนกักสภาพคล่อง เริ่มขอเครดิต เทอม หลอกฮุบสินค้า เตือนตรวจสอบข้อมูลลูกค้าใหม่ ทำประกันสินเชื่อ ด้านศูนย์วิจัยกสิกรฯ เตรียมปรับลดประมาณการจีดีพี หลังส่งออกวูบหนัก

นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงว่า ขณะนี้ค่อนข้างจะชัดเจนว่าทิศทางเศรษฐกิจจีนในระยะต่อๆ ไปจะไม่เติบโตในระดับสูงเท่ากับช่วงที่ผ่านมาแล้ว จากตัวเลขในไตรมาสแรกที่เติบโตได้ 7.7% ขณะที่ไตรมาส 2 ก็ยังไม่น่าจะดีขึ้น รวมถึงในช่วงครึ่้งปีหลังด้วย ซึ่งอาจจะทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำกว่าเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้ 7.5%

สำหรับผลกระทบที่จะเกิดกับประเทศไทยนั้น นอกจากในเรื่องของปริมาณการส่งออกที่จะชะลอตัวลงตามแล้ว ในส่วนของผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจส่งออกกับคู่ค้าในจีนก็จะต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้นด้วย โดยในช่วงที่ผ่านมา พบว่าคู่ค้าจากจีนค่อนข้างจะเปลี่ยนแปลงบ่อย มีหลายรายที่ต้องเลิกกิจการไป ทำให้ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนคู่ค้าบ่อยราย รวมถึงคู่ค้าจะขอช่วงระยะเวลาในการจ่ายเงิน (เครดิต เทอม) เพิ่มจากเดิมที่ไม่เคยมีก็จะขอ 1-3 เดือน ซึ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังต้องระวังกรณีการสั่งจ่ายโดยใช้ตั๋วแลกเงินจากคู่ค้า ซึ่งพบได้ว่ามีหลายรายที่สินค้าถูกส่งมอบไปก่อนที่จะจ่ายเงินตามตั๋ว โดยสาเหตุมีทั้งเกิดจากกลโกงของคู่ค้า และการไม่เอาใจใส่ของผู้รับผิดชอบ หรือสถาบันการเงินที่ออกตั๋ว ทำให้ผู้ประกอบการได้รับความเสียหาย โดยสินค้าที่ส่งออกส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มเกษตร และเกษตรแปรรูป

“ก่อนหน้านี้เวลาทำธุรกิจกับจีนจะไม่ค่อยจะมี L/C หรืออะไร ส่วนใหญ่จะวางมัดจำ แล้วก็รับของจ่ายเงินกันเลย แต่เดี๋ยวนี้มีการขอเครดิตเทอมบ้าง แสดงให้เห็นว่าสภาพคล่องเริ่มไม่ดี หรือมีกลโกงบ้าง บางทีเขาก็จะฮั้วกับคนที่ออกของ เอาของออกก่อนที่จะจ่ายเงินตามตั๋ว ทำให้เราเสียหายได้ เพราะบางทีก็เป็นลูกค้าใหม่ที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน ตรงนี้เป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกไปประเทศจีนมากที่สุด”

แนะผู้ประกอบการคุมเข้ม

นายทรงพล กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการควรทำก็คือ จะต้องมีความเข้มงวดขึ้น เพื่อลดความเสี่ยง เช่น ใช้การเปิด L/C ซื้อประกันความเสี่ยง รวมถึงตรวจสอบลูกค้าให้มากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าใหม่ ซึ่งในส่วนของธนาคารเองหากลูกค้ามาใช้บริการ หรือให้คำปรึกษาก็จะช่วยตรวจสอบได้ในอีกระดับหนึ่ง เนื่องจากธนาคารมีสาขา และพันธมิตรที่จะดูแลให้ลูกค้าได้

“ในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนค่อนข้างกังวลกันมากในเรื่องเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตาม เท่าที่ธนาคารประเมินแม้เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง แต่ก็คงไม่ใช่ในลักษณะ Hard Landing เพราะทางผู้บริหารติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีความพร้อมที่จะเข้าไปซับพอร์ตอยู่แล้ว หากสถานการณ์แย่ลง”

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้านตลาดเงิน ตลาดทุนของไทยยังคงจะมีความผันผวนไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการอความชัดเจนกรณีธนาคารกลางสหรัฐฯ จะถอน QE ได้หรือไม่ ซึ่งหากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ เป็นไปตามที่ตั้งไว้ เช่น อัตราคนว่างงานที่ 6.5% และจีดีพีเติบโต 3.4% ในปีหน้า ก็คงจะยกเลิก QE ไปได้ เป็นต้น ขณะที่ค่าเงินบาทน่าจะทรงๆ อยู่ในระดับ 30 บาทในสิ้นปีนี้

พิษส่งออกวูบเตรียมลดจีพีดี

นางพิมลวรรณ มหัจฉริยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคและจุลภาค บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยอยู่ระหว่างทบทวนปรับประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจากเดิมที่ตั้งไว้ 4.8% หรือในกรอบ 4.3-5.3% ซึ่งคาดว่าคงจะอยู่ในระดับ 4% ต้นๆ ซึ่งก็จะเป็นการทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจในทุกๆ ตัวไปโดยปริยาย โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็ได้ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตส่งออกเหลือ 4% จากเดิม 7%

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้การส่งออกเติบโตได้ในระดับที่ต่ำกว่าคาดการณ์ มาจากภาวะเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นตลาดหลักของไทยชะลอตัวลง ดังจะเห็นได้จากยอดส่งออกไปจีน 4 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้นไม่ถึง 2% และเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะยังชะลอตัวอยู่ไปจนกระทั่งปลายปีนี้

นางพิมลวรรณ กล่าวอีกว่า การชะลอของเศรษฐกิจจีนนั้นมาจาก 2 สาเหตุหลักๆ คือ ตัวเลขต่างๆ ที่ออกมาบังคับให้ทางการต้องดำเนินนโยบายชะลอการเติบโตลง และเป็นแนวโยบายของผู้นำจีนที่เพิ่มดำรงตำแหน่งใหม่ที่เน้นให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างยั่งยืน มากกว่าเติบโตในอัตราที่สูงๆ

“จีนจะเป็นห่วงอยู่ 2 อย่างด้วยกันก็คือ ตัวเลขหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ในระดับ 36-42% ของจีดีพี แต่เมื่อรวมกับหนี้สาธารณะที่ไม่ได้อยู่ระบบตรวจสอบ เป็นส่วนที่รัฐบาลท้องถิ่นก่อไว้ ก็จะมีอัตราสูงถึง 80% จีดีพี ซึ่งตรงนี้ทำให้ทางรัฐบาลกลางต้องเข้ามาดูแลเพื่อลดหนี้ส่วนที่อยู่นอกระบบ กับราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้นจนเห็นสัญญาณการเก็งกำไร จึงทำให้ทางการจีนต้องชะลอการเติบโตลงบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังมีเงินสำรองอยู่ในระดับที่สูง จึงไม่น่าเป็นห่วงในเรื่องการเข้ามาอัดฉีดเศรษฐกิจหากสถานการณ์ไม่ดี”
กำลังโหลดความคิดเห็น