xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นบวก 22 จุด ตลท.เตือนอย่าประมาท โบรกฯ มองรัฐทำประชาชนหนี้พุ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


    หุ้นไทยบวกต่อเนื่องอีก 22 จุด  ต่างชาติกลับเข้าซื้อ 5.5 พันล้านบาท คลายกังวล QE ด้าน “จรัมพร” คาดหุ้นไทยสิ้นปีจะกลับมายืนถึง 1,600 จุดได้ไม่ยาก เพราะมีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น แต่ในระหว่าง 2-3 เดือนจากนี้อาจยังผันผวนต่อเนื่อง ขณะที่ บล.กสิกรไทย ปรับเป้าดัชนีหุ้นไทยปีนี้ไปได้แค่ 1,350-1,500 จุด เหตุเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวช้า และโครงการประชานิยมของรัฐพ่นพิษทำประชาชนแบกหนี้อื้อ คาดแนวโน้มต้นปีหน้าอาจได้เห็นดัชนีที่ 1,700 จุด ส่วนพรุ่งนี้ผันผวนต่อ แนะจับตาโฉมหน้า ครม.ใหม่

    สรุปภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (27 มิ.ย) ปิดที่ระดับ 1,446.45 จุด  บวก 22.07 จุด หรือ 1.55% ระหว่างวันปรับตัวจุดสูงสุด 1,459.30 จุด และต่ำสุด 1,419.64 จุด มูลค่าการซื้อขาย 61,917.94 ล้านบาท  ภาพรวมแรงซื้อในกลุ่มสื่อสารและธนาคาร หนุนดัชนีปรับตัวบวก พร้อมการกลับมาของแรงซื้อนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากคาดหวังว่าเฟดจะไม่ชะลอ QE ในเร็วๆ นี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาล่าสุดแสดงถึงความอ่อนแอที่ยังมีอยู่

    สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุน นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 5,590.52 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 3,892.50 ล้านบาท ขณะที่สถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 205.33 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิ 9,367.69 ล้านบาท    

    ขณะที่อันดับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายมากที่สุด  KBANK     3,830 ล้านบาท  186.00 บาท  บวก 6.00 บาท (+3.33%) ADVANC 3,713 ล้านบาท 281.00 บาท บวก 5.00 บาท (+1.81%) JAS 3,187ล้านบาท 7.80 บาท ลบ -0.05 บาท (-0.64%) 4.INTUCH  2,544,719 ล้านบาท 83.75 บาท บวก 1.00 บาท (+1.21%) SCB  2,459,028 ล้านบาท     170.00 บาท    บวก 3.00 บาท (+1.80%)

   “จรัมพร” เชื่อได้เห็นดัชนีหุ้นไทย 1,600 จุด

     นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในไตรมาสที่ 3 หรืออีก 2-3 เดือนนับจากนี้ ตลาดหุ้นทั้งของไทย และต่างประเทศจะมีความผันผวนค่อนข้างมาก และมีการแกว่งตัวขึ้นลงต่อเนื่อง จากสาเหตุหลักๆ ที่มาจากมาตรการเตรียมที่ชะลอ และยกเลิกมาตรการ QE ในกลางปีหน้า โดยนักลงทุนต่างชาติที่มาลงทุนยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะเริ่มทยอยเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรจากหุ้นที่ถืออยู่เพื่อย้ายฐานเม็ดเงินลงทุนนั้นกลับไปเพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ

    ขณะเดียวกัน ต่อจากนี้สิ่งที่นักลงทุนควรต้องระมัดระวังการลงทุนในหุ้นระยะสั้น และหุ้นที่ขาดปัจจัยพื้นฐานที่ดี เพราะหุ้นกลุ่มนี้แม้จะได้ค่าตอบแทนที่สูง แต่ก็มีความเสี่ยงที่มากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากกระแสเงินทุนไหลออกจากต่างประเทศจะยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปริมาณเม็ดเงินไหลออกที่น้อยลงกว่าเดิมก็ตาม แต่ทั้งนี้ ลักษณะการลงทุนจะเปลี่ยนไปจากเดิม โดยนักลงทุนที่เคยประสบกับปัญหาขาดทุนจากราคาหุ้นผันผวน จะหันกลับมาลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาวในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดที่เลวร้ายที่สุดผ่านไปแล้ว ในครึ่งหลังของปีนี้ตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะกลับมายืนในระดับ 1,600 จุดได้อย่างเดิม เนื่องจากมีรูปแบบ และผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนมีมากขึ้น และนักลงทุนส่วนหนึ่งจะเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนในระยะสั้น หันมาเน้นลงทุนระยะยาวที่มีความเสี่ยงน้อยลงเพิ่มมากขึ้น
 
   บล.กสิกรไทยมองประชานิยมรัฐทำหนี้ ปชช.พุ่ง    

    นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า บล.กสิกรไทย วิเคราะห์ดัชนีหุ้นไทยในครึ่งปีหลังอยู่ที่ระหว่าง 1,350-1,500 จุด ค่า P/E เฉลี่ยที่ 12 เท่า ซึ่งดัชนีจากดัชนีหุ้นดังกล่าวคาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวในลักษณะผันผวนขึ้นลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่มีอยู่เดิมจะหายไป หรือเปลี่ยนไปลงทุนในหุ้นระยะยาว หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีความชัดเจนแทน นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่า ผลพวงจากโครงการนโยบายประชานิยมของรัฐ จะทำให้เพิ่มภาระหนี้ครัวเรือนต่อหัวเพิ่มสูงมากขึ้นจากที่เป็นอยู่ และภาคอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ จะลดจำนวนการผลิตลง เนื่องจากสภาพการส่งออกของประเทศจีนที่อยู่ในช่วงชะลอตัว จะเข้ามาฉุดแรงซื้อในภาคส่งของภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย
       
    ทั้งนี้ ประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ และทวีปยุโรปมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศจะยังอยู่ในมาตรการ QE และยุโรปเองนั้นยังมีผลพวงจากมาตรการรัดเข็มขัด จากกรณีของประเทศกรีซอยู่ก็ตาม ทำให้ประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ลดลง แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศยังคงมีโอกาสเติบโตได้
    
    โดยนักลงทุนควรเพิ่มความรอบคอบในการลงทุน โดยพิจารณาจากหุ้นที่มีมูลค่า P/E เฉลี่ยที่ 12% และอัตรากำไรตอบแทนต่อผู้ลงทุนอยู่ที่ 15% โดยเน้นกลุ่มอุปโภคบริโภคภายในประเทศที่เป็นปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะมีโอกาสกลับมาเติบโตได้อีกครั้งส่วนหุ้นที่น่าสนใจในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ได้แก่ หุ้นในกลุ่มขนส่ง เช่น THAI และ TTA เนื่องจากการขนส่งในประเทศเริ่มดูดีขึ้น ขณะที่อัตราค่าระวางเรือปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี เนื่องจากค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ค่า P/E ของหุ้นบางตัวปรับตัวลดลง ทำให้อยู่ในระดับที่น่าสนใจที่จะเข้าไปซื้อได้ ซึ่งได้แก่ ESSO และ TOP และหุ้นในกลุ่มไอซีที ที่มีความน่าสนใจจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่อยู่ใน ระดับสูงคือ INTUCH และ ADVANC
       
    “บริษัทฯ ประเมินว่าในช่วงต้นปีหน้าจะมีโอกาสเห็นดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,700 จุดได้ ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากเศรษฐกิจตลาดใหม่ในหลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่สภาวะที่เติบโต และประเทศที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยมีรูปแบบการลงทุนใหม่ๆ และช่องทางการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งต้องติดตามโฉมหน้า ครม.ใหม่ ซึ่งภาพรวมพรุ่งนี้ (28 มิ.ย.) ยังผันผวนเช่นเดียวกับวันนี้”

        
       
    
กำลังโหลดความคิดเห็น