xs
xsm
sm
md
lg

“จรัมพร” คาด 18 เดือนรู้ผล ศก. US ฟื้นจริงหรือไม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“จรัมพร” ชี้สหรัฐฯ ดึงเงินกลับสะท้อนเศรษฐกิจเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ คาดใช้เวลา 18 เดือนรู้ผลมาตรการอัดฉีดเงิน และทำกำไรจากหุ้นทั่วโลกหนุนเศรษฐกิจยูเอสจะฟื้นตัวจริงหรือไม่ ชี้ที่ผ่านมา เห็นสัญญาณดึงงเงินกลับ แต่นักลงทุนไทยประมาทคิดเพียงทำกำไร แนะมองหาการลงทุนที่ไม่พึ่งพิงสหรัฐฯ ช่วยกระจายความเสี่ยง

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่สหรัฐฯ ได้ประกาศยกเลิกมาตรการ QE ในกลางปีหน้า ส่งผลสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติที่ดีขึ้น ซึ่งภาพรวมแล้วเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐฯ มีความสำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดใหญ่ๆ ของโลก ดังนั้น เมื่อสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมา ประเทศในเอเชียที่จะได้รับอานิสงส์เป็นสัญญาณบวก คือ ประเทศที่ค้าขายโดยตรง ได้แก่ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เนื่องจากมีนักลงทุนที่ได้ประโยชน์จากตลาดลงทุนนี้มาก

“สิ่งที่จำเป็นจากนี้เราต้องวิเคราะห์ในระยะยาวต่อปัจจัยพื้นฐาน ต้องดูว่าการที่เศรษฐกิจฟื้นอาจจะต้องใช้ยาแรง คือ เม็ดเงินที่อัดฉีดสภาพคล่องซึ่งไปลงทุนในกองทุนหุ้น หรือพันธบัตรในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อให้เกิดผลกำไรแล้วนำกำไรที่ได้นี้กลับมาพัฒนาประเทศ จะฟื้นตัวจริงหรือไม่ ที่ผ่านมา ประเทศที่นักลงทุนมาลงทุนมากที่สุดคือ กลุ่มประเทศ TIP (ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย) สังเกตได้จากเมื่อมีเงินลงทุนเข้ามามาก ดัชนีหุ้นก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจนถึงประมาณกลางเดือน พ.ค.ที่ดัชนีหุ้นไทยสูงที่สุดในระดับ 1,640 จุด ณ แต่ตอนนั้นสหรัฐฯ จะเริ่มส่งสัญญาณเรียกคืนสภาพคล่อง ด้วยการเทขายหุ้นเพื่อทำกำไร และย้ายฐานเม็ดเงินลงทุนกลับประเทศ ขณะที่นักลงทุนไทยประมาทมองการลงทุนว่าจะได้ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันสั้น ทั้งที่เริ่มมองเห็นปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามากระทบการลงทุน”

กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ตอนนี้อาจใช้ระยะเวลานาน 12-18 เดือน จึงจะเห็นภาพที่ชัดเจนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าเมื่อครบกำหนด 18 เดือน นักลงทุนที่ถือครองเงินลงทุนสหรัฐฯ คือ Fund Manager ทั่วโลกอาจจะต้องพิจารณาผลตอบแทนว่าเป็นอย่างไร และเมื่อนักลงทุนขายไปหมดแล้ว จะนำเงินที่ได้จากการลงทุนไปลงทุนประเภทไหนต่อ เพราะถ้าหากยังคงถือเงินลงทุนของเฟด ในอัตราดอกเบี้ย 0% ที่มีอยู่อาจจะไม่สะท้อนภาพของการพัฒนาเศรษฐกิจ และการส่งออก

อย่างไรก็ดี ควรมองในทิศทางการลงทุนที่ไม่พึ่งพาประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ บ้าง เพื่อกระจายความเสี่ยงเมื่อเกิดความผันผวนในตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลก โดยนักลงทุนควรมองปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่มองแค่มูลค่าหุ้นที่กำหนดโดยกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่มองถึงความคุ้มค่าที่น่าลงทุนในระยะยาว เช่น โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ สะท้อนทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจ หากประเทศยังคงมี GDP ที่ดีอยู่ และการเมืองมีเสถียรภาพ ค่าเงินบาท และการส่งออกสินค้าก็จะยังคงผลักดันเศรษฐกิจให้ก้าวไปข้างหน้าต่อได้
กำลังโหลดความคิดเห็น