อุณหภูมิอสังหาฯ ครึ่งปีหลังร้อนแรง เผยการแข่งขันในตลาดเริ่มดุเดือด ปัญหาต้นทุนที่ดิน แรงงาน ค่าก่อสร้างพุ่ง กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงในการบริหารจัดการ ด้าน “เอพี” ยันปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนแนวราบ-สูง เข้าที่แล้ว มั่นใจทุกโปรดักต์ในมือรองรับความต้องการทุกกลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ แจงครึ่งปีแรกยอดขาย 8,000 ล้านบาท คาดไตรมาส 3-4 เพิ่มเข้ามาอีก 14,000 ล้านบาท มั่นใจ 16 โครงการที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ดันยอดขาย 22,000 ล้านบาทตามเป้า
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP กล่าว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน เริ่มมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ขณะเดียวกัน ปัญหาการปรับตัวของต้นทุนการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ก็ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะปัญหาต้นทุนที่ดิน แรงงานก่อสร้าง และค่าก่อสร้าง ทำให้ผู้ประกอบการในตลาดต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจ และให้น้ำหนักกับการบริหารจัดการด้านต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ผู้อยู่ในธุรกิจนี้หนีไม่ได้
จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาบริษัทมีความพยายามที่จะสร้างสมดุลในการลงทุนระหว่างโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ กับโครงการอาคารชุดพักอาศัย เพื่อให้มีสัดส่วนในการพัฒนาโครงการในแต่ละปีเท่าๆ กัน โดยมีสัดส่วนการพัฒนาโครงการต่อปีอยู่ที่ 50:50 ซึ่งปัจจุบัน บริษัทเข้าสู่จุดสมดุลแล้ว
“การบริหารความเสี่ยงระหว่างโครงการแนวราบ ซึ่งใช้ระยะเวลาตั้งแต่เปิดขายโครงการจนถึงการรับรู้รายได้เร็วถือว่าเป็นโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ความสมารถในการทำกำไรต่ำกว่าโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากมีรอบของธุรกิจต่อโครงการไม่ต่ำกว่า 3 ปี และแม้ว่าขายไม่หมด ก็ต้องสร้างให้แล้วเสร็จ”
นายวิทการ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานของบริษัทในปีนิ้ ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทมีการเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 9 โครงการ และในครึ่งปีหลังมีแผนเปิดตัว และขายโครงการใหม่อีก 16 โครงการ รวมมูลค่าเกือบ 30,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีอีก 53 โครงการ ที่อยู่ระหว่างการขาย และก่อสร้างซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 35,600 ล้านบาท โดยโครงการทั้งหมดที่บริษัทพัฒนาอยู่ในขณะนี้ ถือเป็นโครงการที่รองรับครบทุกกลุ่มเป้าหมาย และทุกประเภทที่อยู่อาศัย ตั้งแต่คอนโดมิเนียม ซึ่งมีแบรนด์แอสไปร์ และริธึ่ม ระดับราคา 2-100 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มทาวน์เฮาส์ จับกลุ่มเป้าหมายครอบครัวเริ่มต้น ซึ่งมีความต้องการอยู่อาศัยจริง และกลุ่มบ้านเดี่ยว รองรับฐานลูกค้าครอบครัวที่เริ่มมีลูก ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าลูกค้าทั้ง 3 กลุ่มยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยสังเกตได้จากยอดผู้เยี่ยมชมโครงการที่เพิ่มขึ้น อย่างไร่ก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่คาดเดาได้ยากขึ้น ตลาดหุ้นยังมีความผันผวนไม่สามารถคาดเดาทิศทางได้ ซึ่งส่งผลต่อภาวะการขาย และตัดสินใจซื้อบ้านของผู้บริโภคยากขึ้น ทำให้ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการทำการตลาดเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของครึ่งปีแรกบริษัททำยอดขายได้แล้ว 8,000 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 22,000 ล้านบาท และคาดว่าในไตรมาสที่ 3 ของปีจะมียอดขายเข้ามาเพิ่มอีก 7,000 ล้านบาท โดยจะเป็นยอดขายจากโครงการที่เปิดขายไปแล้ว และโครงการที่กำลังจะเปิดใหม่อีก 16 โครงการ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ส่วนที่เหลืออีก 7,000 ล้านบาท คาดว่าจะมาจากการขายในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ โดยมี 16 โครงการใหม่เป็นตัวผลักดัน
สำหรับ 16 โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 3 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 9 โครงการ และบ้านเดี่ยว 4 โครงการ โดยในส่วนของแอสไปร์คอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทจะเป็นรายแรกจากส่วนกลางที่เข้าไปทำโครงการใน จ.พิษณุโลก ในระดับราคาเริ่มต้น 1.6-1.7 ล้านบาท ขนาดห้อง 24 ตร.ม. จากปัจจุบันที่มีผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ทำคอนโดมิเนียมอยู่ไม่เกิน 2 โครงการ นอกนั้นเป็นโครงการแนวราบ โดยมองศักยภาพของพิษณุโลก ซึ่งเป็นเมืองการศึกษาของภาคเหนือตอนล่าง อีกทั้งสภาพตลาดใกล้เคียงกับ จ.อุดรธานี เนื่องจากมีตลาดอพาร์ตเมนต์ให้เช่าจำนวนมาก และอัตราการเช่าในระดับสูง
นายวิทการ กล่าวถึงปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงขึ้นว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการรถยนต์คันแรกของรัฐบาล และกดกำลังซื้อของผู้บริโภคลง ซึ่งในส่วนของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นคนละกลุ่มกัน ซึ่งคอนโดมิเนียมของบริษัทค่าเฉลี่ยเริ่มที่ 2 ล้านบาทขึ้น หรือบ้านแนวราบค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 ล้านบาทขึ้นไป ในขณะที่ต้องยอมรับว่า ยอดลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทในขณะนี้เริ่มมีบางส่วนที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อกู้ซื้อบ้านจากธนาคารพาณิชย์เพิ่มมากขึ้นแต่ยังไม่มีนัยสำคัญ เนื่องจากยังอยู่ในระดับ 15% ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว