“กรุงเทพ-กสิกร” สั่งทบทวนแผนธุรกิจในจีน หลังเศรษฐกิจเริ่มมีอาการถดถอย เตรียมคุมเข้ม “สินเชื่อ-คุณภาพหนี้” พร้อมแนะธุรกิจไทยต้องใช้เครื่องมือปิดความเสี่ยง ก่อนโดนคู่ค้าชักดาบ
นายพิพิธ เอนกนิธิ รองกรรมการผู้จัดการ สายธุรกิจจีน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างทบทวนแผนการเติบโตธุรกิจในจีนปีนี้ โดยในระยะสั้นจะชะลอการเติบโตสินเชื่อชั่วคราว หลังทางกลางจีนเริ่มส่งสัญญาณชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจลงด้วยการไม่อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อผ่อนคลายภาวะการเงินตึงตัว แต่ในระยะยาวยังคงเป้าจะเติบโตสินเชื่อในประเทศจีนปีนี้ประมาณ 2.8 พันล้านหยวน หรือ 1.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ธนาคารเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่ลุกลามจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพหนี้ และสภาพคล่องของธนาคาร เนื่องจากธุรกิจของธนาคารในจีนยังมีขนาดเล็ก และมีสัดส่วนการกู้ยืมระหว่างธนาคารเพียง 10% นอกจากนี้ ยังมองว่าทางการจีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจแบบปิดจะไม่ยอมให้ปัญหารุนแรงจนกระทบการจ้างงาน โดยพร้อมจะเข้ามาอัดฉีดสภาพคล่องในระบบได้ทุกเมื่อ
“ในมุมหนึ่งเรามองว่านี่ถือเป็นสัญญาณบวกว่ารัฐบาลจีนเพิ่มความระวัดระวังมากขึ้น แต่ระยะสั้นเราคงเพิ่มความระมัดระวังธุรกิจในจีน เบรกเพื่อรอดูสถานการณ์สักระยะเพราะเศรษฐกิจจีนยังอยู่ระหว่างหาจุดสมดุลว่าจะชะลอการเติบโตลงมาอยู่ที่ระดับใด ส่วนแผนระยะยาวเรื่องขยายสาขาและยกระดับเป็นธนาคารท้องถิ่นจะยังเดินหน้าต่อ” นายพิพิธกล่าว
นายพิพิธ กล่าวว่า จากความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นในจีนขณะนี้ ธนาคารอยากแนะนำให้ธุรกิจไทยมีการค้ากับคู่ค้าจีนให้ความสำคัญกับวิธีการชำระค่าสินค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้น โดยเลือกคู่ค้าที่น่าเชื่อถือ หรือร้องขอให้คู่ค้ามีการเปิดแอล/ซี เพื่อป้องกันความเสี่ยง เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจไทยที่ค้าขายกับจีนกว่า 70% มีการชำระค่าสินค้ากันโดยตรง ขณะที่อีก 30% ใช้บริการนายหน้าในฮ่องกง
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า กลุ่มที่เราเป็นห่วงมากหน่อยคือ ลูกค้าที่ส่งออกไปจีน เพราะนอกจากต้องเจอกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนแล้ว ยังเสี่ยงที่จะเจอการผิดนัดชำระจากคู่ค้าด้วย เพราะเศรษฐกิจจีนตอนนี้มีปัญหาหนี้เสียในระบบ และเริ่มชะลอตัว หากเป็นไปได้ผู้ประกอบการควรทำแอล/ซี เพื่อปิดความเสี่ยงเพิ่มเติม
นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในขณะนี้อาจมีผลต่อการแผนการเติบโตธุรกิจในจีนของธนาคารในปีนี้ เนื่องจากธนาคารต้องเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ และคัดกรองลูกค้าในจีนให้เข้มงวดขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบในเชิงคุณภาพหนี้ของธนาคาร เพราะในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารมีการเติบโตธุรกิจในจีนด้วยความระมัดระวัง และไม่เร่งรีบ
“เรามองว่าทางการจีนคงต้องการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้ผู้เล่นทางการเงินเพิ่มความระมัดระวัง เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลมก่อนจะเกิดปัญหารุนแรง ดังนั้น ธุรกิจในจีนจะยังเติบโตได้แต่อาจโตช้าลง” นายไชยฤทธิ์กล่าว
นายไชยฤทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารยังไม่มีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อในจีน เนื่องจากนโยบายของธนาคารต้องการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปอยู่แล้ว โดยในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา สินเชื่อยังเติบโตได้ตามเป้า อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะเพิ่มความเข้มงวดด้านการดูแลความเสี่ยงให้สอดคล้องกับการส่งสัญญาณของทางการจีน