“ธ.กสิกรไทย” ประกาศทุ่มงบพันล้านลุยธุรกิจในจีน เตรียมลุยเปิดสาขาเพิ่ม 2-3 แห่ง ภายใน 3-5 ปี ขณะที่ “ธ.ไทยพาณิชย์” ขยับสู้ ยอมรับต้องการเข้าสู่ตลาดจีน เพราะเริ่มเห็นลูกค้าจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจ และจีนก็เริ่มประสบปัญหาทรัพยากรที่จำกัด รวมทั้งปัญหามลพิษ ทำให้นักธุรกิจจีนเริ่มขยายออกต่างประเทศ ย้ำการที่ไปช้ากว่าเพื่อนไม่ได้หมายความว่ายอมแพ้
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารมีแผนจะขยายธุรกิจในประเทศจีนด้วยการเปิดสาขาเพิ่มเติมอีก 2-3 แห่ง ใช้เม็ดเงินลงทุนหลักพันล้านบาท ปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทยมีสาขาอยู่แล้ว 1 แห่ง ในเมืองเซินเจิ้น ขณะนี้เศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในช่วงขยายตัวและมีความพร้อมมากขึ้นจากในอดีต โดยภายในเดือน พ.ค.นี้ จะเปิดสาขาเพิ่มอีกแห่งที่เฉิงตู
“จีนเป็นโจทย์ที่ถ้าไม่คิดล่วงหน้าไว้ 10 ปี ป่านนี้อาจไม่ทันแล้ว โชคดีที่ธนาคารได้เริ่มเข้าไปวางความสัมพันธ์เอาไว้ล่วงหน้าทำให้ยังมีที่ยืนได้” นายบัณฑูร กล่าว
นายบัณฑูร กล่าวว่า เกณฑ์ในการพิจารณาเปิดสาขาในจีนมีอยู่ 3 ปัจจัย คือ 1.บริเวณนั้นต้องมีจำนวนธุรกิจเอสเอ็มอีมากพอ 2.ต้องไม่ใช้ต้นทุนที่สูงจนเกินไป 3.ต้องเป็นสถานที่ที่ธนาคารต้องสามารถหาบุคลากรไปทำงานได้ โดยคาดว่าภายใน 3-5 ปี น่าจะสามารถเปิดสาขาได้ครบตามแผน จากนั้นอาจพิจารณาขอยกระดับเป็นธนาคารท้องถิ่นจากธนาคารกลางของจีน
“สาขาที่ธนาคารกสิกรไทยจะไปเปิดจะอยู่ทางตอนใต้ และตะวันตกของจีนเราจะไม่ไปเซี่ยงไฮ้ หรือปักกิ่ง เพราะเกินกำลัง ต้นทุนสูง แข่งขันยาก ไม่คุ้มค่า เอาแค่พอทำกินไปเรื่อยๆ เท่านั้น” นายบัณฑูร กล่าว
นายบัณฑูร ชี้แจงถึงผลการดำเนินงานของสาขาเซินเจิ้นในช่วงที่ผ่านมาว่า เป็นที่พอใจ เพราะสามารถทำกำไรได้ภายในไม่กี่ปีที่เข้าไปลงทุน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันธนาคารยังจำกัดกรอบการทำธุรกิจในจีนอยู่แค่การรับฝากเงินจากลูกค้ารายใหญ่วงเงินฝาก 1 ล้านหยวนขึ้นไป การปล่อยกู้สินเชื่อเอสเอ็มอี สินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งสาขาในเฉิงตู ก็จะทำธุรกิจในรูปแบบเดียวกัน
ด้านนายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้ทำเรื่องขอเปิดสาขาในจีน แต่ต้องใช้เวลาพิจารณาระยะหนึ่งตามเงื่อนไข และกฎหมายของจีนที่ให้เปิดสำนักงานตัวแทนก่อนที่จะขอเปิดสาขา ต้องยอมรับว่า การขยายธุรกิจไปจีนนั้นทำได้ช้ากว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ด้วยกัน
นายวิชิต กล่าวว่า ต้องการเข้าสู่ตลาดจีน เพราะเริ่มเห็นลูกค้าจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจ และจีนก็เริ่มประสบปัญหาทรัพยากรที่จำกัด รวมทั้งปัญหามลพิษ ทำให้นักธุรกิจจีนเริ่มขยายออกต่างประเทศ
“เราช้า แต่ไม่ได้หมายความว่ายอมแพ้ ตอนนี้เราก็ทำธุรกิจกับลูกค้าจีนผ่านสาขาฮ่องกง เป็นการหาพันธมิตรมากกว่าจะเน้นเปิดสาขา” นายวิชิตกล่าว
นายวิชิต กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดในเอเชียขยายตัวมากขึ้น จีนถือเป็นประเทศหลักที่กระตุ้นให้เศรษฐกิจเกิดการขยายตัว ในขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต็เริ่มมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงมาก เช่น อินโดนีเซีย ทำให้การเติบโตแผ่ขยายมายังแถบประเทศเพื่อนบ้านของไทยมากขึ้น
นายวิชิต ประเมินว่า หลังจากนี้ไป ตลาดในยุโรป (อียู) จะเติบโตช้าลง และต้องใช้เวลาอีกหลายปี ซึ่งนอกจากจีน ก็ยังมีตลาดในอาเซียน โดยธนาคารจะทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด และเข้าใจวัฒนธรรมประเทศนั้นๆ อีกด้วย