หุ้นยังลงต่อ 36 จุด จากแรงขายต่างชาติที่กังวล QE ไม่จบ อีกทั้งข่าวลบจีนโดนปรับลดประมาณการจีดีพี กดตลาดทั้งเอเชียร่วง คาดสัปดาห์นี้มีโอกาสเห็น1,350 จุด ก่อนรีบาวนด์ขึ้นปลายสัปดาห์จาก Window Dressing โบรกฯ ชี้เป็นจังหวะดีเข้าเก็บหุ้นพื้นฐานดี เชื่อ Force Sell รอบนี้มีน้อย
สรุปภาวะหุ้นไทย วันนี้ (24 มิ.ย.) ปิดที่ระดับ 1,364.09 จุด ลดลง 36.41 จุด หรือ 2.60% มูลค่าการซื้อขาย 44,017.36 ล้านบาท ภาพรวมดัชนีเคลื่อนไหวปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดอื่นในภูมิภาค เนื่องจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ ต่อความกังวลในมารตการ QE ยังมีอยู่ นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับลดประมาณการ GDP ของจีน จาก 7.8% เป็น 7.4% ซึ่งจีนเป็นผู้นำในเศษฐกิจเอเชีย ดังนั้น เมื่อเกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นจีนย่อมส่งผลกระทบมาถึงตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค รวมถึงไทย โดยระหว่างวัน ดัชนีแตะจุดสูงสุด 1,404.85 จุด จุดต่ำสุดที่ 1,363.80 บาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีรธรรม ผู้อำนวยการ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลงแรงมาจากตลาดหุ้นจีนลดลงกว่า 5% จะมีผลทำให้ตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ร่วมถึงไทยปรับตัวลดลงด้วย อีกทั้งยังมีแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติจากมารตการ QE อยู่ เมื่อนำทั้งสองปัจจัยลบมารวมกันทำให้มีความเป็นไปได้ว่าดัชนีอาจปรับตัวลงไปถึง 1,350 จุด ซึ่ง ณ บริเวณดังกล่าว แนะนำนักลงทุนระยะกลาง-ยาวเข้าซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีไว้ในพอร์ต ประมาณ 40% และคาดว่าดัชนีจะรีบาวด์ช่วงปลายสัปดาห์จาก Window Dressing โดยภายในสัปดาห์นี้แนวรับสำคัญคือ 1,350 จุด และแนวต้าน 1,380 จุด
“เราต้องจับตาดูท่าทีของการจีน จะแก้ไขปัญหาเงินไหลออกอย่างไร ทั้งนี้เกิดการช็อตในระบบปล่อยสินเชื่อ เกิดเงินตึงตัวจึงทำให้เกิดเงินไหลออก และในตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ส่วนหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก ทำให้ P/E จากเดิม 18 เท่า ตอนนี้ลงมาอยู่ที่ 15 เท่า ถือว่าดีขึ้น”
สำหรับการถูกบังคับขาย (Force Sell) มองว่ามีไม่มากเลยไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากก่อนหน้านี้ ดัชนีได้ปรับตัวลงมาก ทำให้นักลงทุนที่เล่นมาร์จิ้น เทรดดิ้งรายวันพอเทรดเสร็จก็ขายทิ้งออกไปก่อนเพื่อ Cut Loss มาล่วงหน้าก่อนแล้ว ดังนั้น ในรอบนี้จึงไม่น่าจะมีผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกบังคับขายมาก
สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุน นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 2,329.51 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 1,168.84 ล้านบาท ในขณะที่สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 2,340.98 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสุทธิ 1,157.37 ล้านบาท