xs
xsm
sm
md
lg

สถาบันแห่ซื้อหุ้นQ1 - Q2ระวังเงินไหล แรงขายจ่อเท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

       ASTV ผู้จัดการรายวัน - จบไตรมาส1/56 หุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.74% จาก3เดือนก่อน มาร์เกตแคปยังอยู่ที่ 13 ล้านล้าน  สถาบันเข้าเก็บหุ้นมากสุด ขณะที่ต่างชาติยอดซื้อสุทธิเหลือ 3.8 พันล้านบาท “เอเซียพลัส”เชื่อFund Flow มีแนวโน้มไหลออกจากภูมิภาค แม้คาดผลประชุม กนง. 3เมษายน ยังคงอัตราดอกเบี้ย โดยรวมคาดระยะสั้นดัชนียังไปต่อ แต่สัญญาณเทขายมีให้เห็นอยู่ตลอด อีกทั้งสถานการณ์ของสโลวเกีย ยังไม่น่าไว้วางใจ

     ตลาดหุ้นไทยปิดส่งท้ายไตรมาส1/56 เมื่อวันศุกร์ที่ 29มี.ค. ที่ระดับ 1,561.06 จุด เพิ่มขึ้น 16.49 จุด มูลค่าการซื้อขาย 50,484.71 ล้านบาท จากแรงหนุนตลาดสหรัฐ และความกังวลไซปรัสลดลง สัปดาห์หน้า โดยในรอบ 3 เดือนหรือตั้งแต่ต้นปีแม้ช่วง2 สัปดาห์ก่อนตลาดหุ้นจะมีความผันผวนจนดัชนีปรับตัวลดลงไปมาก แต่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.74% และคิดเป็น 10.97% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน เช่นเดียวกับมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ที่ช่วง2สัปดาห์ก่อนลดลงมาก แต่ท้ายที่สุดก็กลับมาอยู่เหนือ 13 ล้านล้านบาท ที่ระดับ 13.286 ล้านล้านบาท

     โดยรวมการซื้อขายสุทธิซื้อขายสุทธิ ตามกลุ่มนักลงทุนตลอดเดือนมี.ค. พบว่า นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 19,056.49 ล้านบาท ขณะที่สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 12,153.42 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ซื้อสุทธิ 658.59 ล้านบาท ขณะที่ตั้งแต่ต้นปี สถาบันซื้อสุทธิ 31,985.41 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 3,894.43 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 33,991.14 ล้านบาท และบัญชีบล.ขายสุทธิ 1,888.69 ล้านบาท

     ภาพรวมไตรมาส 1/56 ดัชนีหลักทรัพย์มีโอกาสขึ้นไปทำลายสถิติเดิม1,789.16 จุด เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2537 จากความร้อนแรงของดัชนีที่ปรับตัวขึ้นไม่หยุด จนมาทำสถิติใหม่ที่ 1,601.34 จุด  เมื่อ 19มี.ค. แต่ก็ไม่สามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ ก่อนปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และเริ่มกลับมารีบาวด์ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมี.ค.  ส่วนด้านมูลค่าการซื้อขายได้สร้างสถิติใหม่นับตั้งแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์ฯไว้ที่  101,361.64 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22มี.ค.56 ทำลายสถิติเดิม94,062 ล้านบาท เมื่อ 23ม.ค.2549

     บล.เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางการเคลื่อนไหวของ Set Index ในระยะสั้นไว้อย่างน่าสนใจว่า ดัชนีหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงปรับฐาน ซึ่งจะทำให้มีรูปแบบการเคลื่อนไหวมีความผันผวนสูง และด้วยสถานการณ์แวดล้อมในต่างประเทศ ยังอาจสร้างแรงกดดันได้อย่างต่อเนื่อง จึงยังคงแนะนำกลยุทธ์ลงทุนแบบเน้นหุ้นรายตัวที่ผันผวนน้อยกว่าตลาด

     ภาพรวมเชื่อว่า Fund Flow  ยังคงไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่องต่อไป ขณะที่ในไทยแม้นักลงทุนต่างชาติจะมีการซื้อสุทธิ3 วันต่อเนื่อง แต่ค่าเงินบาทกลับอ่อนค่าลงเล็กน้อย  ซึ่งคาดว่ามาจากยอดซื้อสุทธิตราสารหนี้ที่ลดลง ส่วนพอร์ตบล.พบว่ามีการขายออกมา 6 วันต่อเนื่อง จึงคาดว่าจะมีแรงซื้อกลับมาในระยะสั้น

     ทั้งนี้ ปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มยูโรโซน ยังมีโอกาสกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก  ล่าสุด สโลวเกีย อาจเป็นอีกประเทศที่ต้องขอรับความช่วยเหลือ ต่อจากไซปรัส เนื่องจากสโลวเกียแบกรับหนี้เสียในระบบธนาคารกว่า 7 พันล้านยูโร หรือ 20%ของจีดีพี ขณะที่สินทรัพย์ธนาคารทั้งระบบ 130%ของจีดีพี มีการประเมิณว่าสโลวเกียต้องการเงินเข้าไปอุ้มระบบธนาคารประมาณ 1 พันล้านยูโร แม้ผู้นำประเทศจะออกมายืนยันว่าสถานะของตนแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องขอรับความช่วยเหลือ แต่ธนาคารหลายแห่งในประเทศที่มีรัฐค้ำประกัน ต้องเป็นผู้แบกรับภาระหนี้ต่อไป หากท้ายที่สุดปัญหาทวีความรุนแรงจนรัฐบาลแบกรับไม่ไหว ก็อาจต้องหันมาขอความช่วยเหลือ และอาจต้องดำเนินนโยบายเก็บภาษีผู้ฝากเงินเหมือนชาวไซปรัส

     ส่วนสถานการณ์ในประเทศ ในวันที่ 3 เม.ย. จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งคาดว่า ที่ประชุมน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมคือ 2.75% ซึ่งคาดว่าจะมาจากแรงกดดันหนักของอัตราเงินเฟ้อก.พ.ที่สูงถึง 3.23% ทำให้ผลตอบแทนแท้จริง (Real Return) ติดลบ นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2556 จะอยู่ที่ 2.80-3.40% ดังนั้นหากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจริง ก็อาจจะเป็นการเร่งให้ภาวะเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น มีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางด้านราคาในระยะยาว ที่เป็นเป้าหมายหลักที่ต้องดูแลของธปท.

     ขณะที่เมื่อเทียบอัตราดอกเบี้ยของไทยกับประเทศที่พัฒนาแล้ว พบว่าดอกเบี้ยของประเทศเหล่านั้นยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากจำเป็นต้องดำเนินนโยบายผ่อนคลายเพื่อพยุงเศรษฐกิจ  ดังนั้นจึงประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยที่คงที่ จะยังทำให้ผลตอบแทนของไทยยังสูงกว่า และมีแนวโน้มของFund Flow ไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตรอยู่ แม้ระยะยาวต่อไปอาจไหลออกจากตลาดหุ้นไทย

     ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยส่งทม้ายเดือนมี.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากแรงซื้อของกองทุนและการทำราคาปิดสิ้นงวดบัญชี (Window Dressing) ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,561.06 จุด เพิ่มขึ้น 5.55% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 20.03% มาอยู่ที่ 62,088.64 ล้านบาท โดยนักนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 484.28 จุด เพิ่มขึ้น 10.97% จากสัปดาห์ก่อน
 
    สำหรับ แนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 1-5 เม.ย. 2556 มองว่า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น แต่ต้องระวังแรงขายทำกำไร โดยรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ เครื่องชี้ภาคการผลิต (ISM Manufacturing) ยอดขายสินค้าโรงงาน ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ทั้งนี้ คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,523 และ 1,477 ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,580  และ 1,600 ตามลำดับ

     นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวถึงแนวโน้มในสัปดาห์นี้ มองว่า ดัชนียังแกว่งตัวผันผวน โดยเฉพาะช่วงปลายสัปดาห์ ความร้อนแรงของดัชนีหุ้นไทย อาจชะลอตัวลง เพราะนักลงทุนอาจขายทำกำไรก่อนหยุดยาว โดยหุ้นที่น่าสนใจ คือ กลุ่มประมูลทีวีดิจิตอล พร้อมแนะนักลงทุนต้องติดตามการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ การขึ้นเครื่องหมายเอ็กซ์ดีของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และสถานการณ์ในอิตาลี ไซปรัส ประเมินแนวรับที่ 1,543-1,546 จุด และแนวต้าน 1,575-1,580 จุด กลยุทธ์ แนะนำรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวในหุ้นธนาคารพาณิชย์และรับเหมา
    
 ส่วนเรื่องร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศนั้น มองว่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงอีก 2-3 ปีข้างหน้า และควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยก่อนหน้านี้ได้ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวสูงขึ้น แล้วปรับตัวลดลงในที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น