HBIRM เผยยุทธศาสตร์ธุรกิจตั้งเป้าอีก 5 ปี ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ธุรกิจบริหารอาคารและชุมชน มั่นใจนักลงทุนต่างชาติมุ่งพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทยเพิ่ม และต้องการใช้บริหารอาคารชาวไทย เพราะต้นทุนถูกกว่ามาเลเซีย และสิงคโปร์กว่าเท่าตัว เร่งพัฒนาศักยภาพพร้อมก้าวสู่ตลาดอาเซียนทั้งในเวียดนาม พม่า และกัมพูชา
นายธนันทร์เอก หวานฉ่ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอช บี อินเตอร์ เรียลตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด (HBIRM) เปิดเผยถึงการแข่งขันของตลาดบริหารอาคารและชุมชนว่า มีแนวโน้มจะแข่งขันกันรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งคาดว่าจะมีกลุ่มทุนจากต่างชาติทั้งในอาเซียน และภูมิภาคอื่นๆ เข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น แม้ว่าจะเป็นโอกาสที่ดีของธุรกิจบริหารอาคาร และชุมชนที่ตลาดจะใหญ่ขึ้น แต่ก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการแข่งขันของตลาด โดยในส่วนของ HBIRM ได้กำหนดยุทธศาสตร์การบริหารธุรกิจไว้ล่วงหน้าถึง 10 ปี และเน้นการให้บริการลูกค้าที่สามารถวัดผลได้ เพราะที่ผ่านมา การสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป จึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้บริหารระดับต้นเพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ในการทำงาน และก้าวไปสู่เป้าหมายที่ได้ตั้งไว้อย่างมีศักยภาพ ที่สำคัญจะต้องมีความพร้อมในการแข่งขันกับตลาดทั้งใน และต่างประเทศ
“HBIRM ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาธุรกิจว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าว่าจะเป็นเบอร์ 1 ของธุรกิจบริหาร และจัดการอาคาร-ชุมชนในประเทศไทย และภายใน 10 ปีต้องการก้าวไปสู่ตลาดในภูมิภาคอาเซียน ทั้งเวียดนาม พม่า กัมพูชา ลาว ฯลฯ ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาอาคารสูงเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ ดังนั้น คาดว่านักลงทุนในประเทศเหล่านี้จะความต้องการมืออาชีพเข้าไปบริหารอาคารและชุมชนมากขึ้น รวมทั้งประเทศอื่นๆ ในอาเซียนที่เชื่อว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีการเติบโต และมีความต้องการใช้บริการธุรกิจนี้เข้าไปทำหน้าที่บริหารหลังการขายมากขึ้น” นายธนันทร์เอกกล่าว และเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา มีกลุ่มนักลงทุนจากจีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ รวมทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลี และออสเตรเลีย เข้ามาลงทุน เนื่องจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเหล่านั้นมีต้นทุนสูงกว่าประเทศไทย ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจบริหารและจัดการอาคาร-ชุมชนจะต้องพัฒนาตัวเองให้มีความพร้อมในทุกด้านเพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนดังกล่าว
นอกจากนี้แล้ว หลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คาดว่าจะมีนักลงทุน และนักท่องเที่ยวเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และเป็นไปได้ว่าในอนาคตจะมีการลงทุนด้านเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม และที่อยู่อาศัยประเภทต่างๆ สูงขึ้น และมั่นใจได้ว่านักลงทุนต่างชาติจะหันมาใช้บริการนักบริหารชุมชนชาวไทย เพราะเมื่อเปรียบเทียบค่าบริการด้านการบริหาร และจัดการชุมชม-อาคารในมาเลเซีย และสิงคโปร์ พบว่ามีค่าใช้จ่ายแพงกว่าประเทศไทยกว่า 1 เท่าตัว จึงเป็นโอกาสของธุรกิจไทยที่สามารถแข่งขันกับตลาดต่างชาติเนื่องจากราคาถูกกว่า ในขณะที่ขีดความสามารถด้านการทำงานนั้นไม่ต่างกัน
นายธนันทร์เอก กล่าวว่า ในอนาคตเชื่อว่าตลาดจะมีคู่แข่งรายใหม่ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก การสร้างความพึงพอใจสูงสุด และการพัฒนาขีดความสามารถในการสื่อสารกับชาวต่างชาติจะไม่เพียงพออีกต่อไป แต่นักบริหารชุมชนต้องเรียนรู้ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เนื่องจากพฤติกรรม และความต้องการของผู้อยู่อาศัยในอาคารและชุมชนนั้นมีความหลากหลาย และแตกต่างกัน ดังนั้น คนทำงานจำเป็นต้องเรียนรู้พฤติกรรม และต้องปรับแนวคิดเพื่อให้เข้ากับลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้ ทั้งยังต้องเป็นผู้นำในด้านการบริหารและจัดการ เพื่อสร้างความเข้าใจว่าการอยู่อาศัยในชุมชนต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไร และอยู่อย่างไรถึงจะมีความสุข
ทั้งนี้ ความต้องการของผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนนั้นส่วนใหญ่ต้องการความปลอดภัย ซึ่งเป็นพื้นฐานของการอยู่อาศัยปัจจุบัน นอกจากพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้ว จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น คีย์การ์ดเข้าออกอาคาร กล้องวงจรปิด ดังนั้น นักบริหารอาคารจะต้องเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย รวมทั้งกฎหมายที่บังคับให้มีการซ้อมหนีไฟ หรืออพยพคนเมื่อเกิดเพลิงไหม้ปีละ 1 ครั้ง นอกจากนี้แล้ว ยังให้ความสำคัญเรื่องความสะอาด เพราะผู้อยู่อาศัยในอาคารได้ให้ความสำคัญต่อสุขภาพอนามัยมากขึ้น จึงต้องหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีในการทำความสะอาด เนื่องจากสารเหล่านี้จะเป็นตัวทำลายวัสดุ ทำลายจุลินทรีย์ และแบคทีเรียที่ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรค เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว HBIRM จึงต้องบำบัดน้ำเสียโดยใช้สาร EM สกัดจากธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงสารเคมีเข้ามาใช้ทำความสะอาดในโครงการ ซึ่งจะส่งผลถึงความปลอดภัยให้แก่พนักงาน และผู้อยู่อาศัย
นอกจากเรื่องความปลอดภัย และความสะอาดแล้ว ผู้อยู่อาศัยในอาคารยังต้องการความสวยงาม และทัศนียภาพที่ดี ดังนั้น นักบริหารอาคารจะต้องให้ความสำคัญกับการรักษาระบบสาธารณูปโภคให้อยู่ในสภาพดี เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าให้แก่อาคาร ทั้งนี้ ระบบสาธารณูปโภค และอุปกรณ์ต่างๆ จะต้องพร้อมใช้งานตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นลิฟต์โดยสาร ระบบไฟฟ้า รวมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ ซึ่งจะต้องบำรุงและดูแลให้สามารถใช้งานได้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมทั้งระบบต่างๆ ในอาคารเก่า นักบริหารอาคารจะต้องวางแผนหางบประมาณสำหรับซ่อมแซม หรือเปลี่ยนใหม่ เพราะวัสดุบางประเภทมีอายุการใช้งานจำกัด จึงต้องระมัดระวังเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในการอยู่อาศัย