“บล.ทิสโก้” ลดเป้าดัชนีเหลือ 1,650 จุด จากความไม่แน่นอนต่อ QE ของเฟด และเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวไม่ชัดเจน เชื่อระยะสั้นยังผันผวนหนัก “ภัทธีรา” คาดระยะสั้นกำไรบริษัทจดทะเบียนส่อลดลง หลังแบงก์ชาติส่งสัญญาณปรับลดจีดีพี แนะนักลงทุนเน้นหุ้นที่เติบโตจากภายในประเทศ
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยจะยังคงได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ประกอบกับธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะดำเนินมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างไร นักลงทุนจึงเทขายทั้งหุ้น และพันธบัตร เพราะเกรงว่าเฟดจะยุติมาตรการคิวอี ในขณะที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง ดังนั้น นักลงทุนควรจับตาความเคลื่อนไหวของภาวะดอกเบี้ยโลก เพราะหากดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นแสดงว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวอย่างแท้จริงแล้ว โดยขณะนี้อัตราดอกเบี้ยระยะยาว 10 ปี ได้ปรับขึ้นจาก 1.5% ขึ้นมาอยู่ที่ 2.2% แล้ว
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ พิจารณาปรับลดเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์สิ้นปี 2556 ลงเหลือ 1,650-1,550 จุดเพราะนอกจากปัจจัยลบจากต่างประเทศที่เข้ามากดดันแล้ว ยังมีภาวะเศรษฐกิจที่อาจไม่เติบโตได้ตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ด้วย พร้อมกันนี้ ยีนยันว่าระยะสั้นดัขนีจะยังคงเคลื่อนไหวผันผวนอย่างหนัก ดังนั้น อยากให้นักลงทุนพิจารณาลงทุนในรายหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งแ ละเกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคในประเทศเท่านั้น
ด้านนางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวน และยังต้องจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ว่าจะพิจารณาลดการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือคิวอี หรือไม่ ซึ่งหากเฟดไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยจะยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้มีกระแสเงินไหลออกจากทุกทวีปทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศทางแอฟริกา แต่ในประเทศไทยเฉลี่ยมีเม็ดเงินไหลออกเพียง 15% เท่านั้น
ดังนั้น นักลงทุนต้องกลับมาดูปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยมองว่าในระยะยาวภาพรวมของกำไรบริษัทจดทะเบียนยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากภาพรวมธุรกิจในต่างจังหวัดยังขยายตัวสูง ประกอบกับได้มีการขยายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรองรับการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซีย หรือเออีซี มากขึ้น อีกทั้งยังมีแรงสนับสนุนจากการลงทุนจากภาครัฐบาล ทำให้ในปีนี้คาดว่า บมจ. จะมีกำไรเฉลี่ย 20% แต่ในระยะสั้นอาจมีการปรับตัวลดลงเพราะธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. อาจมีการปรับลดเป้าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จดีพี ซึ่งอาจกระทบกำไรของ บมจ.ในไตรมาส 2/56 ให้ลดลงได้ ทำให้ทั้งปีกำไรอาจลดลงมาอยู่ที่ 14-15%
ดังนั้น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ระยะสั้นไม่ควรลงทุนในหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ แต่อาศัยกำลังซื้อภายในประเทศมากขึ้น ขณะที่ปี 2557 กำไรของ บมจ. จะอยู่ที่ 12% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน