xs
xsm
sm
md
lg

“จรัมพร” คาดสิ้นปีมูลค่าหุ้นไทยพุ่งตามเป้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คาดมูลค่าหุ้นสิ้นปีจะได้ตามเป้าที่ 120,000 ล้านบาท มองระยะยาว 5 ปี Market Cap ทะลุถึง 23 ล้านล้านบาท เน้นมาตรฐานบริษัทจดทะเบียนผ่านดัชนี MSCI มากขึ้น และเป็นธรรมาภิบาลที่ยั่งยืน

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มูลค่าการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะนี้อยู่ที่ 98,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าทั้งปี 120,000 ล้านบาท ณ ตอนนี้ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ดีเยี่ยม คาดว่าจะเกินเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้แน่นอน ซึ่งวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร และความสำเร็จของธุรกิจขึ้นอยู่กับจังหวะการลงทุนเข้าจดทะเบียน สำหรับช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุด ในการที่จะนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และการเพิ่มทุน หรือในการควบรวมกิจการก็ตาม  โดยขณะนี้คิวของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้แล้ว ส่วนจำนวนที่แน่นอน และจะมีการปรับเป้าเมื่อไหร่จะต้องไปรอดูอีกครั้งอาจเป็นประมาณสิ้นไตรมาสที่ 2

“แนวโน้มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap)  ปัจจุบันอยู่ที่ 14 ล้านล้านบาท เป้าหมายในระยะเวลา 5 ปี ที่ตั้งไว้คือ 23 ล้านล้านบาท ที่ระดับวอลุ่มเทรดประมาณ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก ทั้งในส่วนของภาคธุรกิจ และตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือบริษัทจดทะเบียนก็ตาม”

ทั้งนี้ จะมีผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่อีกเท่าตัวในปัจจุบัน โดยทั้งนี้จะต้องผนึกกำลังร่วมมือกันทุกฝ่ายทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทจดทะเบียน และนักลงทุน ร่วมกันคิดร่วมกันสร้างให้มีความสำเร็จร่วมกัน ทั้งสถาบันในประเทศ บริษัทจดทะเบียน และตลาดหุ้น รวมถึงนักลงทุน ขณะเดียวกัน บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจะต้องมีการรับรองจาก MSCI INDEX มากขึ้น และบริษัทมีความเป็นธรรมาภิบาลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในประดับแสนล้านที่ต้องมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่ในระดับที่ร้อนแรง ซึ่งในระดับที่มาร์เกตแคปสูงมาก ระดับนี้จะต้องคู่ขนานไปกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่เหมาะสมกันในปีนั้นๆ โดย GDP จะเติบโตไปในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ถือว่าสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และสูงกว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์   

ขณะเดียวกัน ครึ่งปีหลังสิ่งที่ต้องจับตามองคือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และการยกเลิกมาตรการ QE อาจจะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยรวมมากน้อยแค่ไหน แต่ในขณะนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงจังหวะการลงทุนที่ดี เพราะฉะนั้น ทั้งนักลงทุน และบริษัทจดทะเบียนเองจะมีเวลาในการปรับกลยุทธ์ประมาณการปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุนได้รับความเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งจะต้องติดตามเป็นระยะ  
กำลังโหลดความคิดเห็น