หุ้นไทยปิดลบ 20.29 จุด อยู่ที่ระดับ 1,581.32 จุด มูลค่าการซื้อขายกว่า 57,710.56 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 4,544 ล้าน จากความกังวลเฟตลดวงเงินซื้อพันธบัตร โบรกฯ แนะชะลอซื้อ ภาพรวมยังเป็นขาลงไร้ปัจจัยใหม่มากระตุ้น ประเมินมีโอกาสรีบาวนด์เล็กน้อย ด้าน “จรัมพร” คาดมูลค่าระดมทุนทั้งปีโตตามเป้า 120,000 ล้านบาท เชื่อความไม่ชัดเจนในมาตรการ QE กดดันทิศทางตลาดในครึ่งปีหลัง
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (30 พ.ค.) เคลื่อนใหวอยู่ในแนวลบตลอดทั้งวัน จากความกังวลต่อการชะลอมาตรการ QE3 จึงเกิดแรงเทขายจากนักลงทุน โดยเฉพาะต่างชาติซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งภูมิภาค โดยปิดที่ระดับ 1,581.32 จุด ลดลง 20.29 จุด หรือ 1.27% มูลค่าการซื้อขาย 57,710.56 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,598.18 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,577.88 จุด หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 164 หลักทรัพย์ ลดลง 544 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 102 หลักทรัพย์
ขณะที่การซื้อขายสุทธิแยกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 2,447.45 ล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 4,545.77 ล้านบาท ส่วนบัญชีบริษัทหลักหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 2,448.31 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 4,544.90 ล้านบาท นักวิเคราะห์ บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การปรับตัวลดลงส่วนใหญ่มาจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ เพราะค่าเงินบาทอ่อนค่า และไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด โดยรวมนักลงทุนต่างประเทศยังกังวลการชะลอมาตรการ QE3 ทำให้เกิดแรงขายขึ้นทุกตลาด แนะนำนักลงทุนซื้อแบบตั้งรับตามแนวรับในแนวทางซื้อสะสม โดยรวมในระยะสั้นดัชนียังอยู่ในทิศทางขาลง ไม่ควรรีบร้อนเข้าซื้อมาก ที่แนะนำน่าลงทุนคือ BTS ซึ่งราคาตอนนี้ลงมาเยอะ เช่นเดียวกับ SAMART SAMTEL และควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ กลุ่มแบงก์ และกลุ่มพลังงาน ซึ่งแนวรับสำคัญที่ 1,577 1,554 และ 1,530 ตามลำดับ
ด้านนักวิเคราะห์อีกรายกล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาค หลังดัชนีดาวน์โจนส์ และดัชนีนิกเกอิ ปรับตัวลดลงจากความกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตร แม้ก่อนหน้านี้ กนง.ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา 0.25% ก็ไม่สามารถหนุนดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
“ประธานเฟด สาขาบอสตัน ออกมาเห็นด้วยต่อการปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตร ทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะเกิดการชะลอมาตรการในอนาคตอันสั้น ทั้งนี้ ยังต้องติดตามตัวเลขอัตราการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า หากปรับตัวลดลงจริงก็มีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะถอนมาตรการ QE3 ออก อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลดลงแรงกว่า 20 จุด ก็มีโอกาสให้ดัชนีรีบาวนด์กลับขึ้นมาบ้าง โดยแนวต้าน 1,590 จุด และแนวรับที่ 1,575 จุด”
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มูลค่าการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะนี้อยู่ที่ 98,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าทั้งปี 120,000 ล้านบาท ทำให้ ณ ตอนนี้ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ดีเยี่ยม และคาดว่าจะเกินเป้าหมายที่วางไว้แน่นอน
“วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร และความสำเร็จของธุรกิจขึ้นอยู่กับจังหวะการลงทุนเข้าจดทะเบียน สำหรับช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการที่จะนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งแบบการเพิ่มทุน หรือแบบควบรวมกิจการ โดยขณะนี้คิวของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ส่วนจำนวนที่แน่นอน และจะมีการปรับเป้าเมื่อไหร่จะต้องไปรอดูอีกครั้ง ซึ่งอาจเป็นประมาณสิ้นไตรมาสที่ 2”
สำหรับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ปัจจุบันอยู่ที่ 14 ล้านล้านบาท โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเป้าหมายในระยะเวลา 5 ปี ตั้งไว้คือ 23 ล้านล้านบาท กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก นอกจากนี้ ตลท.มีแผนเพิ่มผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอีกเท่าตัว
“เราต้องร่วมกันสร้างให้ความสำเร็จ ทั้งสถาบันในประเทศ บริษัทจดทะเบียน และตลาดหุ้น รวมถึงนักลงทุน ขณะเดียวกัน บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจะต้องมีการรับรองจาก MSCI INDEX มากขึ้น และบริษัทมีความเป็นธรรมาภิบาลมากขึ้น แต่การเพิ่มมาร์เกตแคปในระดับแสนล้าน ต้องคำนึงถึงคุณภาพด้วย ไม่ใช่แค่ในระดับที่ร้อนแรง มาร์เกตแคปต้องเติบโตคู่ขนานไปกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่เหมาะสมกัน”
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย มองว่าครึ่งปีหลังสิ่งที่ต้องจับตามองคือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และการยกเลิกมาตรการ QE อาจจะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยรวม แต่ในขณะนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงจังหวะการลงทุนที่ดี เพราะฉะนั้น ทั้งนักลงทุน และบริษัทจดทะเบียนเองจะมีเวลาในการปรับกลยุทธ์ประมาณการปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุน เพื่อลดความเสียหายมากสุด ซึ่งจะต้องติดตามเป็นระยะๆ ส่วนการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% นั้น อยู่ในระดับที่คาดการณ์ไว้แล้ว คงไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก