ตลาดจับตาประชุม กนง. หากลดดอกเบี้ยจะช่วยปลุกหุ้นได้จริงหรือไม่

แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยวันนี้ยังอาจเจอความผันผวนค่อนข้างมาก แต่ก็มีโอกาสรีบาวนด์กลับขึ้นมาได้บ้าง เพราะร่วงติดต่อกันมาหลายวัน แนะจับตาประชุม กนง. หากลดดอกเบี้ยจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยได้จริงหรือไม่ โบรกฯ คาดวันสุดท้ายสัปดาห์ MSCI เลือก 4 หุ้นไทยเพิ่มเข้าคำนวณดัชนี ดึงเม็ดเงินเข้าตลาดเพิ่มได้

ภาวะตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (28 พ.ค.) ประเมินว่า แนวโน้มดัชนียังความผันผวนค่อนข้างมากจากปัจจัยต่างประเทศ แต่ก็มีโอกาสรีบาวนด์กลับขึ้นมาได้บ้าง หลังปรับตัวลดลงไปมากในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนบางส่วนยังรอผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ โดยประเมินแนวต้าน 1,600 จุด แนวรับ 1,580 จุด

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า บริษัทคาดว่าการประชุมของ กนง. ในวันที่ 29 พ.ค. นี้ อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากปัจจุบันมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.75% เหลือ 2.50% เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท หลังจากที่ผ่านมา ธนาคารกลางหลายประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียนได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้วส่วนหนึ่ง

ด้าน น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในรอบสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าดัชนีจะไม่เกิน 1,620 จุด พร้อมแนะให้ติดตามในเรื่องของการประชุม กนง.ในวันพุธที่ 29 พ.ค.นี้ ถ้าหากว่าผลการประชุมฯ สรุปว่า ลดอัตราดอกเบี้ยลงในอัตราที่หลายฝ่ายประเมินไว้ เชื่อว่าจะช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้น

พร้อมกันนี้ แนะให้จับตากรณี MSCI ที่จะเพิ่มอีก 4 หุ้นไทย เข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Standard Indices ในวันที่ 31 พ.ค.นี้ ได้แก่ MINT ,TRUE และ HMPRO ซึ่งคาดว่าน่าจะเห็นเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาซื้อหุ้นทั้ง 3 หลักทรัพย์ในวันสุดท้าย อีกทั้งยังมีในส่วนของ MSCI Global Small Cap Indices ที่มีหุ้นไทยเพิ่มเข้าไปอีกประมาณ 20 หลักทรัพย์ โดยจุดนี้มองว่าอาจจะทำให้หุ้นไทยขยับผันผวนผิดปกติ และถ้ามีการนำหุ้นบางตัวออกไปก็อาจจะทำให้หุ้นไทยร่วงผิดปกติด้วยเช่นกัน

“เราประเมินแนวรับที่ 1,585 จุด ซึ่งอาจเห็นการรีบาวนด์กลับขึ้นมา ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,600-1,605 จุด โดยรวมตลาดยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ อย่างนี้ต่อไปอีกระยะ เป็นการปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลงประมาณ 2% ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ลดลงประมาณ 1%”