xs
xsm
sm
md
lg

“นิด้า” ติง กนง. หากคิดปรับลด ดบ.นโยบายต้องดูแลสเปรด ดบ. กู้-ฝาก แบงก์พาณิชย์ด้วย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“นิด้า” กังวล กนง. ปรับลด ดบ.นโยบายอาจเสียเปล่า ไม่ส่งผลต่อ ศก. แนะดูแลส่วนต่าง ดบ. เงินกู้-ฝาก ในระบบแบงก์อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อเอื้อต่อการให้ภาคเอกชนลงทุน และสามารถขับเคลื่อน ศก.ไทยเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้

นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต (MPA) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ศสช.) หรือสภาพัฒน์ ประกาศอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาสแรกปี 2556 ที่มีการเติบโต 5.3% ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ทำให้มีการประเมินว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันพรุ่งนี้ (29 พ.ค.) กนง.อาจจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท รวมถึงยังทำให้อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการค้า การลงทุน และการส่งออกของประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งด้วย

ทั้งนี้ มีความเป็นห่วงว่า แม้ที่ประชุม กนง.จะตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา แต่ก็อาจจะไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ทุกฝ่ายตั้งความหวังไว้ โดยเฉพาะในส่วนของภาคการลงทุน และการส่งออกที่เป็นฟันเฟืองของเศรษฐกิจที่อาจจะไม่สามารถขับเคลื่อนได้เต็มที่ หากธนาคารพาณิชย์ที่ทำหน้าที่ปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคเอกชนไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย

ซึ่งจากหลายครั้งที่ผ่านมา จะพบว่า ภายหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ธนาคารพาณิชย์มักจะปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากลงมาในอัตราเท่ากับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ฝั่งดอกเบี้ยสินเชื่อเงินกู้กลับปรับลดลงมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งทำให้ภาระต้นทุนทางการเงินของภาคเอกชนไม่ได้ลดลงอย่างที่ควรจะเป็น

“การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ ไม่ว่าจะเป็น 0.25% หรือ 0.50% จะไม่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ หากธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่ปล่อยสินเชื่อให้แก่การค้าการลงทุนของภาคเอกชน ไม่ยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงมาเท่ากับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยมุ่งหวังแต่ผลกำไรของธนาคารมากกว่า ทำให้ภาคเอกชนไม่ได้รับประโยชน์จากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างที่ควรจะเป็น” นายมนตรีกล่าว

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ ธปท.ต้องทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินในประเด็นดังกล่าว โดยดูแลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเงินกู้และเงินฝาก (สเปรด) ของธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อเอื้อต่อการให้ภาคเอกชนลงทุน และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้
กำลังโหลดความคิดเห็น