โพลนักเศรษฐศาสตร์มองภาพรวม ศก.ปัจจุบันยังไม่ถึงเวลาใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมแนะ กนง. ควรให้ความสำคัญเงินเฟ้อมากกว่าค่าเงิน ส่วนความขัดแย้ง “กิตติรัตน์-ประสาร” ควรลดทิฐิ เคารพบทบาทหน้าที่ของแต่ละฝ่ายโดยไม่ลุแก่อำนาจ ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดภายใต้ข้อมูล และประสบการณ์ที่มี ใช้สื่อให้น้อยลงเพื่อไม่ให้มีข่าวหลุดออกไปเพราะจะดูไม่ดีในตลาด และประสิทธิภาพของเครื่องมือจะลดลง
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ เรื่อง “ผู้ว่าฯ ธปท. ดอกเบี้ย และรมว.คลังกับปัญหาค่าบาทแข็ง” ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 29 พ.ค.นี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ 41.5% คาดว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 มาเหลือ 2.50% ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ 38.5% คาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมที่ 2.75%
ทั้งนี้ เมื่อถามว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันถึงเวลาหรือยังที่ต้องใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะในประเด็นค่าเงินบาท พบว่านักเศรษฐศาสตร์ 46.2% เห็นว่ายังไม่ถึงเวลา โดยให้เหตุผลว่า อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่ต้นตอของปัญหา อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่เครื่องมือดูแลค่าเงินบาทที่มีประสิทธิภาพ หากแต่เป็นเครื่องมือที่ใช้ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ 29.2% เห็นว่าถึงเวลาแล้ว เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งเพราะดอกเบี้ยสูงกว่าประเทศอื่นๆ ทำให้เงินไหลเข้าประเทศทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ประกอบกับเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มชะลอตัว นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ 49.2% ยังเห็นว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.0% เป็นการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าที่ไม่ถูกทาง ขณะที่ 18.5% เห็นว่าถูกทางแล้ว
นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ 55.4% เห็นว่า กนง.ควรปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยควรให้ความสำคัญกับภาวะเงินเฟ้อมากกว่าค่าเงินบาท ขณะที่ 18.5% เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับค่าเงินบาทมากกว่า
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ถึง 73.8% เห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำเป็นต้องสอดประสานกับนโยบายการคลังของกระทรวงการคลัง โดยมีเพียง 10.8% เท่านั้นที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องสอดประสานกัน
เมื่อถามว่ามีความเชื่อมั่นมากน้อยเพียงใดต่อการทำหน้าที่ ผู้ว่าฯ ธปท.ของ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล โดยเฉพาะการเตรียมมาตรการรองรับค่าเงินบาทแข็ง พบว่านักเศรษฐศาสตร์ถึง 80.0% เชื่อมั่นมากถึงมากที่สุด แต่มีเพียง 13.8% ที่เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลย
ส่วนสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ต้องการบอก ผู้ว่าฯ ธปท. และ รมว.คลัง เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้น มีดังนี้ 1.หันหน้าเข้าหากัน เปิดใจรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ให้เกียรติกัน โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง 2.เข้าใจอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายไม่ก้าวก่ายอำนาจกัน ไว้ใจและเชื่อมั่นกันแล้วแก้ไขปัญหาตามอำนาจที่มีโดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ 3.อย่าใช้ทิฐิ ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดภายใต้ข้อมูล และประสบการณ์ที่มี ใช้สื่อให้น้อยลงเพื่อไม่ให้มีข่าวหลุดออกไปเพราะจะดูไม่ดีในตลาด และประสิทธิภาพของเครื่องมือจะลดลง
อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจดังกล่าวมาจากความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 35 แห่ง จำนวน 65 คน และดำเนินการรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด ระยะเวลาในการเก็บข้อมูลตั้งแต่ 16-22 พฤษภาคม 2556