โบรกฯ เตือนกระชับพอร์ตหุ้น อย่าวางใจเมื่อหุ้นรีบาวนด์กลับ ชี้อาจปรับตัวลงต่อ ภาพรวมยังอยู่ในช่วงปรับฐาน คาดเปิดสัปดาห์หุ้นร่วงลงต่อ ประเมินอัปไซด์ราคาหุ้นหลายตัวเหลือน้อย การปรับลงรอบนี้ช่วยเพิ่มแรงจูงใจนักลงทุนเข้าช้อนหุ้นเพื่อดันราคาขึ้นไปต่อ
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.บัวหลวง จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยหลังเกิดความกังวลที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรเร็วกว่าที่คาด จนทำให้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 พ.ค. ดัชนีหลักทรัพย์ลดลงถึง 48.51 จุด ก่อนดีดตัวกลับมาปิดลดลง 23.81 จุด หรือ 1.46% จุด ว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นหลักของเอเชียที่นักลงทุนต่างชาตินิยมเข้ามาลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมาก โดยที่ปัจจัยที่ทำให้หุ้นไทยร่วงลงแรงครั้งนี้ มองว่าเป็นเพียงปัจจัยลบระยะสั้น และเป็นการปรับตัวลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค และมองว่าเป็นปัจจัยบวกต่อแนวโน้มระยะยาว เมื่อเศรษฐกิจขนาดใหญ่เริ่มมีการฟื้นตัว
“ถ้าเฟดยกเลิก หรือชะลอการซื้อคืนพันธบัตรก่อนกำหนด ถือเป็นปัจจัยลบระยะสั้นๆ เท่านั้น นักลงทุนไม่ควรวิตกมากนัก เพราะนั่นหมายความว่าเศรษฐกิจหลักๆ โดยรวมของสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว จึงอาจไม่มีความจำเป็นที่จะใช้มาตรการนี้อีกต่อไป
ในปีนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสะสมหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี น้อยกว่าปีที่แล้วมาก และเรามองว่านักลงทุนต่างชาติคงยังไม่รีบขายหุ้น เชื่อว่าในบิ๊กล็อตยังคงมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง ส่วนการร่วงลงแรงของดัชนีเมื่อวันที่ 23 พ.ค. มองว่าเป็นการปรับพอร์ตปกติ หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมาก ทำให้โดยรวมดัชนีเกิดการพักฐานลงมาในระดับที่เหมาะสมที่ 1,640 จุด หากมองในเชิงเทคนิคก็ใกล้ที่ดัชนี 1,650 จุด ซึ่งถ้าหากนักลงทุนซื้อหุ้นมาแล้ว มันอาจไม่มีอัปไซด์ให้ขึ้นต่อมากนัก ก็จะถูกขายทำกำไรออกมาเพื่อให้เกิดส่วนลดเพิ่มขึ้น ถือเป็นแรงจูงใจให้คนเข้าไปซื้อหุ้นต่อ เพื่อให้หุ้นจะได้ดีดกลับขึ้นไป จากตอนนี้หุ้นหลายตัวไม่มีแรงจูงใจให้ซื้อต่อ”
ทั้งนี้ ประเมินว่านักลงทุนที่ควรลดสัดส่วนเงินลงทุนในตลาดหุ้นลงบ้าง ก่อนที่จะแย่ไปกว่านี้ เพราะถ้าเกิดหุ้นลงจะทำให้ขายออกไปไม่ทัน ซึ่งเป็นมูลค่าในเชิงดัชนีคงต้องรอสักพัก แล้วค่อยซื้อกลับอีกรอบ นักลงทุนควรเข้าใจว่าหุ้นสูงขึ้นมามาก ก็พร้อมที่จะร่วงลงมาได้ตลอดเวลา ดังนั้น การเตรียมตัวไม่ประมาทคือกระชับพอร์ตหุ้นของตน
“ตั้งแต่หุ้นขึ้นมาแรงๆ ที่ดัชนี 1,458-1,650 จุด หรือขึ้นมากกว่า 192 จุด เฉลี่ยแล้ว 13% จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หุ้นจะมีการปรับฐานประมาณ 7-8% ซึ่งถ้ารอบนี้ดัชนี 1,650 จุด หากมีการปรับฐานประมาณ 7% จะทำให้ดัชนีอยู่ที่ 1,535 จุด ควรทำใจว่าถึงจุดที่จะเป็นขาลงของหุ้นแล้ว จะได้ไม่ต้องมานั่งปลอบใจตัวเองที่จำใจต้องขายออกไป ส่วนหุ้นที่ลงมาเป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น ระยะยาวเรายังแนะนำให้ซื้อ เพราะเชื่อว่าเมื่อการปรับฐานแล้วเสร็จ ราคาหุ้น และดัชนีจะปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ”
นายวิกิจ กล่าวว่า สถานการณ์แบบนี้ควรขายทำกำไรในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้นตัวที่ไม่ติดอยู่ใน cash balance ต้องระวังแรงขายที่จะมีออกมาเยอะมาก แนวรับระยะสั้นจะอยู่ที่ 1,595 จุด หากนักลงทุนต้องการทยอยเข้าไปสะสมควรซื้อช่วงท้ายของการซื้อขาย อย่าซื้อระหว่างเวลาซื้อขาย เพราะแนวโน้มวันจันทร์ (27 พ.ค.) หุ้นอาจจะลงมาอีก และวันอังคาร (28 พ.ค.) จะดีดตัวกลับขึ้นไป และเมื่อหุ้นดีดตัวกลับขึ้นไปแล้วสิ่งที่นักลงทุนควรทำคือ แก้พอร์ตหุ้นของตนเอง อย่าปล่อยเลยตามเลย กระชับพอร์ตลงมา หรือปรับพอร์ตลงมา ส่วนแนวต้านคือ 1,615-1,620 จุด ถือเป็นแนวต้านที่เหมาะสม