“ไทยโพลีคอนส์” ปลื้มรายได้ขายไฟจากโรงไฟฟ้าชีวมวลได้ตามเป้าหมาย ขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานสู่ความเป็นผู้นำด้านโรงไฟฟ้าชีวมวล ลงทุนศึกษาพัฒนาโครงการอสังหาฯ เพิ่มเติม วางแผนตั้งบริษัทเทรดดิ้งรองรับ AEC มุ่งสินค้าที่มีกำไร และตลาดที่แน่นอน ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพดำเนินงานและบริหารต้นทุนให้ทุกธุรกิจ ส่วนผลประกอบการไตรมาส 1/56 พลิกกลับมามีกำไร วางแผนประมูลงานใหญ่ปีนี้อีกกว่า 10,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตขึ้น 25-30%
นายไชยณรงค์ จันทร์พลังศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPOLY เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจพลังงานของ TPOLY เริ่มมีรายได้ขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าช้างแรก โรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัท โดยรายได้จากการขายไฟตั้งเป้า 170-180 ล้านบาท คาดการณ์กำไรสุทธิที่ 27-30% โดยบริษัทมีแผนขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายระยะสั้นของบริษัทที่ต้องการมีโรงไฟฟ้า 100MW ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำทางด้านโรงไฟฟ้าชีวมวลในอนาคต โดยทางบริษัทได้เริ่มศึกษาโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาวอีก 3 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตทั้งสิ้นประมาณ 100 เมกะวัตต์
ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จโครงการ Greenwich ซึ่งได้กระแสตอบรับที่ดี บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการต่างๆ
นอกจากนี้ TPOLY ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ปี 2558 เนื่องจากหากมีการเปิดเสรี AEC จะทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ และเติบโตขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้า และบริการมากขึ้น โดยได้จัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดดังกล่าว ในช่วงแรกจะมุ่งเน้นสินค้าที่มีกำไร และตลาดที่แน่นอน รวมถึงการวางกลยุทธ์ให้ทุกภาคส่วนธุรกิจมีส่วนช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน (Synergy) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
“จุดเด่นของบริษัทคือ ทำธุรกิจอยู่บนพื้นฐานของความตรงไปตรงมา และเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ เมื่อลูกค้ามีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัท และซึมซับปรัชญาของบริษัท จึงเกิดความเชื่อมั่น และไว้วางใจที่จะดำเนินโครงการร่วมกันต่อไปในอนาคต”
โดยบริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในด้านของการมุ่งเน้นภาคส่วนของตลาด (Focus Strategy) โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยมุ่งเน้นพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งในส่วนของการก่อสร้าง และลดต้นทุน รวมถึงการบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้ดียิ่งขึ้นในส่วนของธุรกิจพลังงาน โดยบริษัทมีแผนที่จะรับงานขนาดใหญ่ทั้งลูกค้าภาครัฐ และเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีความพร้อมอย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าสัดส่วนลูกค้าภาครัฐประมาณ 49% และภาคเอกชน 51%
“ตัวอย่างเช่น เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีความเข้าใจประชาชนในพื้นที่ทางภาคใต้ และสามจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งมีคู่แข่งน้อย ความเข้าใจและเชี่ยวชาญในพื้นที่ทำให้รู้ว่าต้องบริหารจัดการอย่างไร จึงจะมีต้นทุนที่ต่ำ และผลดีต่อกำไรสุทธิของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และนอกเหนือจากการเพิ่มประสิทธิภาพและบริหาร ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมติให้ออกเสนอขายตั๋วเงินระยะสั้น ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 500 ล้านบาท อายุไม่เกิน 270 วัน เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต”
สำหรับผลประกอบการล่าสุดในไตรมาส 1/2556 พลิกกลับมามีกำไร 7.44 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่บริษัทขาดทุนเท่ากับ 188.37 ล้านบาท จากการตั้งหนี้สงสัยจะสูญในส่วนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทฯ มีนโยบายที่จะรับงานขนาดใหญ่มากขึ้น และการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการต้นทุน ซึ่งช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้สูงขึ้น และลดความเสี่ยงต่อหนี้สูญ โดยปีนี้วางแผนร่วมประมูลงานใหญ่อีกกว่า 10,000 ล้านบาท คาดว่ามีโอกาสได้รับงานประมาณ 30% ตั้งเป้ารายได้เติบโตขึ้นจากปีก่อนประมาณ 25-30%