TMC พร้อมตั้งเป้าเติบโตปีนี้กว่า 25% ผุดโรงงานใหม่บนเนื้อที่ 58 ไร่ ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 60% เน้นขยายตลาดสู่อินโดจีนที่กำลังซื้อสูง พลิกวิสัยทัศน์บริษัทฯ มุ่งสู่ความเป็นสากล World Class Manufacturing รองรับ AEC 2558
นายสุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ที.เอ็ม.ซี.อุตสาหกรรม (TMC) กล่าวว่า จากแนวโน้มการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี 2558 เพิ่มช่องทางให้มีโอกาสด้านธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น จึงได้วางกลยุทธ์เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ตลาดใหม่ โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นจุดแข็ง และศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจเพื่อรองรับภาวะการแข่งขันที่จะมีมากขึ้น เช่น ธุรกิจซื้อมาขายไป (Trading), ระบบป้อนงานอัตโนมัติ (Automation), การบริการและการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Service and Preventive Maintenance) รวมถึงแผนงานในการเข้าสู่ตลาดอาเซียน (Road to Asian Project) เพื่อสอดรับกับวิสัยทัศน์บริษัทในการมุ่งสู่การเป็น World Class Manufacturing ที่มุ่งเน้นการเป็นผู้นำการสร้างนวัตกรรมด้านการออกแบบ และผลิตเครื่องจักร เครื่องทุ่นแรงที่สร้างมูลค่าเพิ่มภายใต้การผสานทุนทางปัญญา และเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างกลมกลืน นำมาซึ่งคุณค่าที่ลูกค้าต้องการด้วยมาตรฐานระดับสากล
ทั้งนี้ บริษัทฯตั้งเป้าหมายการเติบรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 25% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,002 ล้านบาท สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2556 บริษัทมีกำไรสุทธิ 16.13 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 215.88 เนื่องจากรายได้จากการขาย และบริการเพิ่มขึ้นจาก 141.14 ล้านบาท เป็น 167.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.96 จากยอดคำสั่งซื้อค้างส่งที่มีปริมาณสูงตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ปีนี้ยังมีงานในมือที่จะทยอยรับรู้อีกกว่า 418 ล้านบาท จึงมีแนวโน้มว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนรูปโฉมยานยนต์บางรุ่นของค่ายรถยนต์ต่างๆ ประกอบกับบริษัทสามารถบริหารต้นทุนในการผลิตได้ดี รวมถึงการลดลงของต้นทุนทางการเงิน จึงส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น และต้นทุนทางการเงินลดลง
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะขยายฐานการผลิตเพื่อรองรับการเปิดประชาคมอาเซียนปี 2558 โดยบริษัทฯ ได้อนุมัติงบลงทุน 174 ล้านบาท ในการจัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงานที่ 3 ซึ่งเป็นโรงงานแห่งใหม่บนเนื้อที่ 58 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2558 โดยโรงงานแห่งใหม่นี้จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 60% จากที่มีอยู่ และลดต้นทุนค่าจ้างแรงงานคนลง ทั้งนี้ ยังได้เตรียมขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศกลุ่มอินโดจีนที่มีกำลังซื้อสูงอีกด้วย
